พาย้อนวันวาน ไปในอดีตที่ เมืองมัลลิกา ร.ศ.124

ช่วงนี้กระแสการท่องเที่ยวย้อนยุคกำลังฮิตมากในโซเชียล หากใครเบื่อชีวิตวุ่นวายในเมืองกรุง และกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวกันอยู่ละก็ สำหรับทริปนี้อยากจะพาทุกคนย้อนยุคข้ามภพไปในอดีต ไปลองใช้ชีวิตแบบวิถีชาวไทยในสมัยโบราณ แต่งชุดไทย ได้ลิ้มรสอาหารไทย ลองไปเดินเล่นกันได้ที่เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 จังหวัดกาญจนบุรี

เมืองจำลองที่ให้บรรยากาศย้อนยุควิถีชีวิตบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา สมัยรัชกาลที่ 5 เหมือนดั่งเข้าไปในนิยายกันเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การแต่งกาย ของใช้ บ้านเรือน และภาษาดั้งเดิมในสมัยนั้น เรียกว่าถ้าใครได้มาเยือนที่นี่ ก็อาจจะอยากย้อนเวลาไปในอดีตเลยก็ได้ เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 ก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่กว่า 60 ไร่ ในตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ที่จะพานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปสัมผัสรากเหง้าความเป็นไทยสมัยโบราณ ผ่านสถาปัตยกรรมอันแสนงดงามในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส ทรงออก “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124” ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448

เมืองมัลลิกาเป็นเมืองจำลองวิถีชีวิตของคนสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงหลังเลิกทาส เราจะได้สัมผัสวิถีชีวิตราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราจะต้องนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินสตางค์สำหรับใช้จ่าย โดยทุกคนจะแต่งตัวแบบโบราณ ถ้าเราอยากอิน ฟินไปให้สุดละก็ แนะนำให้เช่าชุด ซึ่งมีครบทุกเพศทุกวัย ถ้าเข้าประตูเมืองมาแล้ว เราก็จะได้ยินภาษาที่ผู้คนในเมืองใช้กัน เช่น “ขอรับ” “เจ้าค่ะ” เข้ามาแรก ๆ อาจจะไม่คุ้นชินกับการใช้ภาษาที่แตกต่างจากปัจจุบัน แต่พอเดินไปสักพักเราจะรู้สึกเพลิดเพลิน กับบรรยากาศรอบ ๆ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่รอให้ทุกคนมาลอง

ส่วนย่านการค้า จะมีก๋วยเตี๋ยวโบราณ หมูสะเต๊ะ กระทงทอง และขนมไทยโบราณมากมาย เนื่องจากนี้ยังมีของใช้สิ่งของโบราณที่หาได้ยากมาก มาวางจำหน่ายด้วย จุดที่น่าสนใจของที่นี่คือ สะพานหัน เป็นสะพานที่ทำจ้างไม้ มีลักษณะโค้งและกว้าง ส่วนในสองฝั่งของสะพานจะเต็มไปด้วยห้องแถวเล็ก ๆ ที่ใช้ขายของ ส่วนตรงกลางเป็นทางเดิน เหมือนเราได้ย้อนอดีตกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกครั้ง และยังมีสถานที่จำลองเหมือนหอคอยคุกในอดีตเอาไว้ชมวิวทิวทัศน์ ซึ่งในอดีตมีการใช้งานจริงสำหรับตรวจตรานักโทษ

ถ้าอยากย้อนวันวาน ไปใช่สกุลเงินแบบสตางค์ อยากแต่งตัวสมัยรัชการที่ 5 หรือถ้าใครนึกไม่ออกว่าสมัยนั้นเป็นแบบไหน ที่นี่ก็ตอบโจทย์ให้คนที่ชอบท่องเที่ยวในสถานที่เก่า ๆ แบบดั้งเดิม เพราะเขาได้อนุรักษ์ความเป็นไทยและวิถีชีวิตแบบสมัยก่อนไว้แล้ว มากาญจนบุรีทั้งที่ ถ้าไม่แวะเที่ยว อาจจะเรียกว่ามาไม่ถึงก็ได้นะ

หนีเที่ยว แล้วแบกเป้ ไปหาความโรแมนติกที่หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา “หมู่บ้านปิล็อก”

หยุดยาวทั้งทีแต่ไม่รู้จะไปไหน อยากพาตัวเองไปหาที่ใหม่แล้วไปนั่งกินลมชมวิวกลางหุบเขา หรืออยากไปกลาง เต็นท์นอนดูดาว ชาวดูหมอก อยากไปสวีทกับแฟนในบรรยากาศแสนโรแมนติก ก็มีสถานที่แนะนำ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาซึ่งมีชายแดนติดกับพม่า อย่ารอช้ารีบคว้ากระเป๋า แบกเป้ไปที่ ปิล็อกกัน

                ปิล็อก หรือ อิต่อง ตั้งอยู่ในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเหมืองแร่เก่าที่ปิดตัวลงเมื่อ 60 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยังมีคนอาศัยอยู่บนนี้ ที่นี่เป็นมนต์เสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบเราไม่น้อย ถึงการเดินทางจะเดินทางเข้ามาด้วยความอยากลำบาก แต่พอถึงหมู่บ้านแล้ว ทุกคนจะเห็นถึงบรรยากาศที่ชวนหลงใหลจนไม่อยากกลับไปทำงานก็เป็นได้ ไม่เท่านั้นยังมีที่พักราคาหลักร้อย หรือถ้าใครไม่อยากนอนแบบที่พักก็สามารถกลางเต็นท์นอนได้เช่นกัน กลางคืนอากาศจะเย็นมาก จนต้องรีบคว้าผ้าห่มมาห่มกันเลยทีเดียว

ด้วยความเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางคืนเลยค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงไฟ ตามบ้านเรือนเท่านั้นที่ยังคงให้เราได้เห็นถึงเสน่ห์ที่น่าค้นหาอยู่เรื่อย ๆ ตื่นเช้ามาบรรยากาศไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย จะเห็นหมอกจาง ๆ ลอยอยู่แถวบริเวณบ้านเรือนและตามหุบเขา เป็นภาพที่สวยน่าประทับใจอดไม่ได้ที่จะคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายภาพเหล่านี้ เราสามารถเดินไปเยี่ยมชมหมู่บ้าน ซึ่งก็มีร้านค้า ขายของให้เราอยู่ตลอดทาง และยังมีป้ายไม้เล็ก ๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่ มาถึงทั้งทีก็ต้องซื้อป้ายไม้ มาเขียนข้อความน่ารัก โปรโมทตัวเอง แล้วไปห้อยตรงสะพาน เป็นที่ระลึกกันสักหน่อย

ตกเย็นเราสามารถขึ้นไปเที่ยวที่เนินช้างศึกเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าใครได้มายืนตรงนี้และได้เห็นพระอาทิตย์ดวงส้ม ๆ โต ๆ กำลังลับของฟ้าละก็ จะรู้สึกฟินมาก แล้วฝั่งตรงข้ามก็เป็นพม่าด้วยนะ ถือว่าคุ้มจนบรรยายไม่หมด ที่ได้เห็นบรรยากาศที่สวยงามกับธรรมชาติสีเขียว เป็นภาพธรรมชาติที่ประทับใจและแสนโรแมนติกเหมาะกับการมาสวีทกับแฟน หรือมาสนุกกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน ที่่เนินช้างศึกเราสามารถกลาง เต็นท์นอนที่นี่ได้ มีห้องน้ำให้บริการ แต่ไม่มีร้านอาหารเท่านั้นเอง แต่ก็ได้บรรยากาศและประสบการณ์แปลกใหม่ที่สักครั้งหนึ่งได้มาสัมผัสอะไรแบบนี้ ทั้งบรรยากาศที่ชวนมอง และน่าหลงใหล เป็นอีกสถานที่สุดแสนประทับใจ

ก่อนกลับจากหมู่บ้านปิล็อกอยากให้ทุกคนได้แวะน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ซึ่งทางเข้าค่อนข้างชันมาก ๆ เล่นเอาเสียวสันหลัง แต่พอพ้นทางเหล่านี้ เราจะถึงน้ำตกจ๊อกกระดิ่น น้ำตกสวยที่ไหลลงมาจากภูเขาสูง ๆ ขอบอกเลยว่า น้ำใสมาก เราสามารถเล่นน้ำได้ มาถึงแล้วก็อย่าลืมถ่ายรูปเก็บเป็นความทรงจำกันด้วยนะ

                หมู่บ้านปิล็อก ถือว่าเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีมนเสน่ห์ จนเราอยากจะเอาร่างกายกลับมานอนพักผ่อนที่นี่อีกเรื่อย ๆ ถึงจะดูไม่มีอะไรมาก แต่ก็มีบรรยากาศอันน่าหลงใหล ทั้งยังเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ใครอยากมาหาความสงบที่นี่ก็เหมาะไม่น้อย แวะมากาญจนบุรีแล้ว ก็ลองแวะมาพัก แล้วจะหลงรักไม่รู้ตัว

5 จุดเช็คอินในอยุธยา ที่เหมือนคุณได้ย้อนกลับยุคอดีต

อยุธยาเป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม แต่อยุธยาก็ไม่ได้มีแค่วัดวาอารามเพียงอย่างเดียว วันนี้เราจะพาไปลึกกว่านั้น ทั้งไหว้พระทำบุญ เข้าพิพิธภัณฑ์ เดินตลาดน้ำ สถาปัตยกรรมบ้านเรือนไทย หรือสวนนก พร้อมกับพาทุกคนไปจัดเต็มตะลุยกิน ตะลุยเที่ยว อิ่มบุญ อิ่มใจไปกับบรรยายความสวยงามและเสน่ห์ที่น่าหลงไหลของจังหวัดอยุธยา

1.วัดนิเวศธรรมประวัติ

วัดไทยสไตล์สถาปัตยกรรมโกธิคเลียนแบบโบสถ์คริสต์ในการก่อสร้าง เต็มไปด้วยเรื่องราวศิลปะระหว่างไทยและตะวันตกมาบรรจบกันได้อย่างลงตัว เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามและโดนเด่นเป็นอย่างมาก ภายในอุโบสถมีการประดับด้วยกระจกสีสวยงามตามแบบโบสถ์ฝรั่ง ลวดลายออกแบบวิจิตรตระการตา มีพระประทานคือ “พระพุทธนฤมลธรรโมภาส” ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเลน อำเภอบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดนิเวศฯ เป็นวัดในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง ด้วยสถานที่ตั้งของวัดอยู่บนพื้นที่เกาะกลางน้ำ การเดินทางไปยังวัดจึงต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าลอยน้ำเพื่อข้ามไปยังตัววัดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

2.หมู่บ้านศิลปาชีพ

สถานที่สถาปัตยกรรมเรือนไทยในยุคสมัยก่อน สร้างด้วยไม้สักและไม้แดง มีเรือนทั้งหมด 21 หลัง เป็นหมู่บ้านสี่ภาค หมู่บ้านเรือนไทยนี้สะท้อนให้เห็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมแต่ละภาค มีความสวยงามโดนเด่นที่แตกต่างกันตามลักษณะทางภูมิภาค ภูมิปัญญา และความเชื่อของแต่ละภาค แต่ละท้องถิ่น จะมีการสาธิตการแสดงและหัตกรรมของแต่ละภาค หมู่บ้านศิลปะชีพตั้งอยู่ภายในศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เปิดทำการทุกวันและเข้าฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

3.ศาลาอยุธยา

ร้านอาหารและที่พักสไตล์โมเดิร์น ผสมเข้ากับเอกลักษณ์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดอยุธยา ทำให้ยังมีความเป็นกรุงเก่า ตั้งอยู่ที่ถนนอู่ทอง ตำบลประตูชัย อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มองเห็นวัดพุทไธศวรรย์อยู่อีกฟากของฝั่งแม่น้ำอย่างชัดแจ๋ว ส่วนเรื่องอาหารเราคอนเฟิร์มความอร่อยของอาหารที่นี่ มีความความพิถีพิถันแถมสดใหม่ ถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติแน่นอน

4.วัดพุทไธศวรรย์

วัดพุทไธศวรรย์ในอดีตเคยเป็นสำนักดาบพุทไธศวรรย์ ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สำคัญวัดนี้มีอายุมากกว่า 600 ปี ซึ่งเป็นวัดที่ไม่ถูกทำลายเมื่อเสียกรุงครั้งที่ 2 เราจึงยังได้เห็นความสวยงามของโบราณสถานกันอยู่ และจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้คือ พระมหาธาตุ หรือปรางค์ประธานที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะขอม มีลักษณะคล้ายฝักข้าวโพด และ วิหารพระนอนองค์ใหญ่ ที่นี่ยังเป็นอีกสถานที่ถ่ายทำของละครเรื่องบุพเพสันนิวาสอีกด้วย ใครมาเที่ยวอยุธยาแล้วไม่ได้มาที่นี่ถือว่าพลาดมาก

5.ตลาดน้ำกรุงศรี

สถานที่เช็คอินแห่งใหม่ เป็นตลาดที่เปิดใหม่บรรยากาศเหมือนกับย้อนกลับไปในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ครบเครื่องเรื่องกิน เช่น บุพเฟ่ต์ อาหารไทย ขนมไทย ของใช้ที่เป็นสินค้าโอท็อปของชุมชนเมืองอยุธยา อีกทั้งยังมีการแสดงให้ได้ชมกันเพลิน ๆ ร้านอาหารตั้งเรียงรายตามริมแม่น้ำ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายังแต่งกายด้วยชุดย้อนยุคอีกด้วย เป็นสถานที่ ๆ เหมาะสำหรับการพาครอบครัว แฟน และหรือเพื่อน ๆ มาพักผ่อนได้เป็นอย่างดี

ถ้าอยากย้อนยุคไปกรุงเก่า อยากไปสะบัดสไบ แต่งชุดไทยสวยเก๋ ไปเช็คอินในสมัยก่อน ก็แนะนำอยุธยานี่แหละ สถานที่รับรองเลยว่า เหมือนพาตัวเองกลับมาในอดีตอีกครั้ง