ชวนไปท้าลมหมอก ชมบรรยากาศ กับ 5 จุดเช็คอินในเขาค้อ

ถ้าอยากไปชมหมอกแต่ไม่อยากไปไกลถึงเชียงใหม่ ก็สามารถมาเที่ยวใกล้ ๆ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้ ยิ่งช่วงหน้าฝนที่กำลังจะมาถึงก็ควรพาตัวเองไปชมทะเลหมอกที่เขาค้อกันสักครั้ง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มาแล้วรับรองเลยว่าไม่มีคำว่าผิดหวังแน่นอน

                ทุ่งกังหันลม เขาค้อ

                ทุ่งกังหันลม ถือว่าเป็นอีกสถานที่ที่ไม่ควรพลาด เป็นแลนมาร์คสำคัญที่ต้องพาตังเองมาเช็คอิน มาถึงเราจะเห็นกังหันลมขนาดยักษ์ตั้งอยู่เรียงกันบนเนินเขาสูงและยังมีดอกไม้ให้เราได้ถ่ายรูปเล่นกันอีกด้วย ไม่เท่านั้นยังมีรถรางให้เราได้เล่นซึ่งเสียค่าเช่าแค่ 40 บาทเท่านั้น ทุ่งกังหันลมมีมุมถ่ายรูปเยอะมากเนื่องจากอยู่บนเนินเขา เราจะเห็นวิวทิวทัศน์ได้ถึง 180 องศาเลยทีเดียว เรียกว่าเก็บภาพยังไงก็ไม่มีวันหมด

                วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เขาค้อ

                จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือพระพุทธรูปสีขาวซ่อนกัน เป็นไฮไลท์หลัก ๆ ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาถ่ายรูปและสักการะซึ่งมีความยิ่งใหญ่และสวยงามมาก เราสามารถมองเห็นพระพุทธรูปได้จากระยะไกลและยังมีจุดชมวิวให้เราได้ชมด้วย ตัววัดถูกสร้างด้วยกระเบื้องและหินสีต่าง ๆ ซึ่งก็ดูแปลกตาและก็ดูสวยไม่แพ้กัน วัดตั้งอยู่บนเนินเขาไม่สูงมากนัก เมื่อลงมาจากเขาค้อแล้วก็แวะมาสักการะได้

                น้ำตกศรีดิษฐ์ เขาค้อ

                เขาค้อไม่ได้มีแค่ทะเลหมอกเพียงอย่างเดียว ยังมีธรรมชาติอื่น ๆ ที่เราจะต้องไปเยือนให้ได้ นั้นก็คือน้ำตกศรีดิษฐ์ น้ำตกเรียงเป็นชั้นสลับซับซ้อนเพิ่มความสวยเวลาน้ำไหลผ่าน เราสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ตลอดทั้งปี เพราะมีน้ำไหลตลอด ถ้าหิวก็มีร้านค้าให้ฝากท้องกันด้วย ถ้าอยากมาพักผ่อนหย่อนใจหรืออยากคลายร้อน ก็แนะนำที่นี่เลย

                Pino Latte

                ร้านกาแฟที่ธรรมชาติสวยและวิวดีมาก เพราะเห็นวิวรอบข้างชัดเจน ไม่เท่านั้นยังเห็นวิวของวัดผาซ่อนแก้วอีกด้วย ร้านถูกตกแต่งอย่างทันสมัย มีสวนดอกไม้ไว้ให้ถ่ายรูป มีป้ายเก๋ ๆ ให้เหล่านักท่องเที่ยว ได้มาเซลฟี่อย่างจุใจ แล้วที่นี่ไม่ใช่มีแค่ร้านกาแฟอย่างเดียว ถ้าใครอยากมาพักผ่อนก็มีที่พักให้บริการ แต่แนะนำจองล่วงหน้าก่อนมาเที่ยว แล้วจะได้ชมวิวและบรรยากาศหลักล้านแน่นอน

                 ร้านเลอ บอนเนอร์

ร้านเบเกอรี่ที่ควรมาแวะ เพราะได้เห็นวิวผ่านกระจกบานใหญ่ การเดินทางก็ไม่ยาก ถ้าใครมาเที่ยววัดผ่าซ่อนแก้วแล้วละก็ ก็สามารถแวะมาร้านนี้ได้อีกเหมือนกัน มานั่งชมบรรยากาศชิลล์ จิบน้ำ ทานเค้ก แถบคนไม่เยอะมากด้วย หรือถ้าไม่อยากกินอาหารหวานก็มีอาหารคาวให้นักท่องเที่ยวได้ทานเหมือนกัน

                มาเที่ยวเขาค้อ นอกจากจะได้ชมทะเลหมอกอย่างอิ่มใจแล้ว ก็มีอีกหลายสถานที่ที่ควรมาเช็คอิน มาชมบรรยากาศที่หาไม่ได้จากที่ไหน แถบอยู่ไม่ไกล ค่าใช้จ่ายไม่สูง แถมได้บรรยากาศเกินราคา มาแวะเที่ยวกันนะ

สาวกกาแฟห้ามพลาด 5 ร้านกาแฟในเชียงใหม่ที่ต้องไปเช็คอิน

เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งธรรมชาติและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ แต่นอกเหนือจากสถานที่เหล่านี้แล้ว เชียงใหม่ยังมีร้านกาแฟนับไม่ถ้วนที่เปิดให้บริการเหล่าคอกาแฟที่ชอบมานั่งเช็คอิน ถ่ายรูป เก๋ ๆ ลงในโซเซียล ร้านกาแฟแต่ละร้านก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราขอแนะนำ 5 ร้านเด่นในเชียงใหม่ให้ได้ตามไปกัน

                กูโรตีและชาชัก

                ถึงชื่อจะไม่ใช้คำว่ากาแฟแต่ที่นี่มีอาหารหลากหลาย เพราะนอกจากกาแฟแล้วก็มีโรตีที่รสชาติดีและหอม ยิ่งกินคู่กับชาชักรายการเด่นของทางร้านแล้วละก็ รับรองว่าฟินสุด ๆ แต่ถ้าใครไม่อยากกินชาชัก ก็มีกาแฟหอมกรุ่นให้สายกาแฟได้ลิ้มลองเหมือนกัน ร้านตั้งอยู่ตรง ถนนนิมมานเหมินทร์ซอย 3 ร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสบายตา หาไม่ยาก ป้ายร้านค่อนข้างเด่น มาถึงเชียงใหม่ทั้งทีก็ต้องมาลองโรตีที่นี่ด้วยนะ

                ชวนชม

                ถ้าอยากกินกาแฟในป่า เหมือนมานั่งจิบน้ำในเทพนิยาย ร้านนี้ก็เป็นอีกทีที่เล่นเอาสายกาแฟตาค้างในการตกแต่งได้เหมือนกัน ทั้งสวนที่โด่นเด่น เหมือนกับเรามานั่งบนสวรรค์ หรือในป่า มันชวนน่าหลงใหล จนเราคิดว่านี้ไม่ใช่ร้านกาแฟ แต่เป็นสวนสวย ๆ แห่งหนึ่งมากกว่า นอกจากกาแฟแล้วที่นี่ก็มีทั้งอาหารหวานและอาหารคาวไว้บริการ ใครที่กำลังท้องร้อง ก็ฝากท้องที่นี่ได้เลย

                เขาช่องปาร์ค

                หลายคนน่าจะคุ้นชื่อเขาช่อง แบรนด์กาแฟที่เราเคยได้ยินตามโฆษณา และที่นี่ก็เป็นร้านกาแฟที่เราคุ้นหูนั้นเอง กาแฟค่อนข้างหลากหลาย เข้ามาแล้วก็จะได้กลิ่นกาแฟหอม ๆ ที่สะกดเราให้เดินเข้ามาโดยอัตโนมัติ เป็นร้านกาแฟที่มากกว่ากาแฟ คุณจะได้รับรู้ถึงบรรยากาศของกาแฟ และถ้าได้ลองรสชาติแล้วละก็ ก็ต้องติดใจกันทั้งนั้น แต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีแค่กาแฟเพียงอย่างเดียว มีอาหารคาวไว้ให้บริการด้วย

                FIEOW Coffee ROOM Roaster Shop

                ถ้าใครชอบร้านกาแฟโทนขาว ๆ ตกแต่งด้วยสไตล์ loft ที่นี่ตอบโจทย์สุด ๆ เมนูเด่นของทางร้านคือ ‘เอสเปรสโซ่ร้อน’ เป็นกาแฟที่ผสมดาร์กช็อกโกแลตกับผลไม้เข้าด้วยกัน เมื่อเราได้ลองจะได้กลิ่นของความหอมของผลไม้และรสชาติความหวานของผลไม้ก่อน แล้วถึงจะได้มารับรู้รสสัมผัสของกาแฟอีกที เรียกว่าเป็นจุดเด่นของทางร้านเลยก็ได้ ไม่เท่านั้นที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟเพียงอย่างเดียว ยังเป็นโรงคั่วแบบ Specialty อีกด้วย

                Klerm Coffee

                แค่ชื่อก็พาเราเคลิ้มแล้ว ร้านกาแฟที่ร้านติดกับแม่น้ำปิง นั่งชิลล์ในมุมสบายตา พร้อมบรรยากาศดี ๆ ติดแม่น้ำ เรียกว่า เคลิ้มสมชื่อร้านจริง ๆ นอกจากกาแฟ เบเกอรี่ที่นี่ก็อร่อย รสชาติไม่หวานเกิน และเมนูที่ต้องแนะนำก็คือ เค้กแครอท ยิ่งได้ทานคู่กับกาแฟไปพร้อม ๆ กัน และได้กินในบรรยากาศดี ๆ แบบนี้เชื่อว่า ติดใจแน่นอน

                เชียงใหม่ขึ้นชื่อว่ามีคาเฟ่เยอะอยู่แล้ว ยิ่งเราได้มาสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเอง สาวกกาแฟก็ไม่ควรพลาด 5 ร้านเด็ดที่แนะนำ ถ้ามาแล้วก็อาจจะประทับใจในรสชาติและการตกแต่งของทางร้าน ถ้าขึ้นดอยกันเหนื่อยแล้ว ก็แวะมาคาเฟ่เก๋ ๆ เพื่อผ่อนคลายกันได้นะ

ชวนมาลองเก็บชา ชมหมอกเย็น ๆ ที่ไร่ชาลุงเดช

ขึ้นชื่อว่าเชียงใหม่หลายคนน่าจะนึกถึงคาเฟ่ เก๋ ๆ หรือแบบมินิมอล ที่เหล่าบรรดาบล็อกเกอร์ไปเช็คอิน แต่มีสถานที่หนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก นั่นก็คือไร่ชาลุงเดช ไร่ชาสวย ๆ ที่ปลูกตามแนวขั้นบันได บนเทือกเขาเล็ก ๆ กับเนื้อที่ 6 ไร่ ใช้ชีวิตแบบชาวเขา ตื่นเช้ามาเก็บชา จิบชา รับหมอกยามเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์ รับรองเลยว่าไม่ผิดหวัง เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ตามเราไปเที่ยวกันเลยดีกว่า

                ไร่ชาลุงเดช ตั้งอยู่ที่แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไม่นาน ที่นี่มีบริการห้องพักหลักร้อยไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย แนะนำเลยว่าไม่ควรไปเช้าเย็นกลับ ควรมานอนพักสักหนึ่งคืน เพราะถ้าไม่พักถือว่าพลาดมาก ทั้งอากาศที่เย็น ๆ บวกกับอาหารที่ลุงเดชเตรียมไว้ให้ เหมือนมาใช้ชีวิตแบบวิถีชาวบ้าน ตอนเย็นนั่งดูพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า กับเทือกเขาข้างหน้าพร้อมอากาศเย็นที่ทำให้เราตัวสั่นได้เหมือนกัน ยิ่งช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้วก็ละก็ อากาศจะดีมาก ตอนเช้าหมอกจะลงตรงไร่ชาพอดี เพิ่มความสวยให้กับธรรมชาติจนละสายตาไม่ได้ ไม่เท่านั้นที่พักยังหันเข้าหาไร่ชา มีระเบียงให้นั่งจิบชาเล่น สูดอากาศเย็น ๆ พร้อมกับท่าถ่ายรูปเก๋ ๆ คนไม่เยอะและไม่พลุกพล่าน

และกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างเราชื่นชอบกันมาก ก็คือการลงไปถ่ายรูปกับต้นชานั่นเอง ซึ่งลุงเดชก็มีพร็อบถ่ายรูปอย่างตะกร้าเก็บต้นชาให้เราฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย ถึงขนาดนี้แล้วก็ลงไปเด็ดยอดชาที่ไร่ชาด้านล่างกันดีกว่า ถึงไร่ชาจะมีแค่ 6 ไร่ แต่มุมถ่ายรูปก็เยอะ ให้เราโพสต์ท่าได้อย่างสบายใจไม่มีเบื่อแน่นอน หรือใครจะคว้าโน๊ตบุ๊คตัวโปรดมานั่งทำงานในไร่ชาก็ได้ เรียกว่ามานั่งจิบชาเล่น ชมท้องฟ้า ภูเขาข้างหน้า ก็เหมือนพาตัวเองมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว นอกจากไร่ชาลุงเดชยังมีผลไม้ให้เราได้เก็บเหมือนกัน เป็นผลไม้ลูกกลม ๆ เล็ก ๆ ชื่อว่า ‘ลูกไหน’ ซึ่งรสชาติก็หวานและอร่อย อดใจไม่ไหวเลยต้องหยิบลูกไหนมาถ่ายรูปกันเลย ถ่ายรูปกันเยอะแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้ากัน ที่ไร่ชาลุงเดชมีบริการอาหารเช้าให้เราให้เลือกรับประทานกันด้วย ซึ่งเมนูก็มาจากยอดชาที่เราลงไปถ่ายรูปเมื่อสักครู่นั่นเอง ถึงเมนูจะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่รสชาติก็อร่อยจนลืมไปเลยว่าถึงเวลาจะต้องเช็คอินและอำลาที่นี่กันแล้ว เวลาเดินทางค่อนข้างไว เล่นเอาเราใจหายเหมือนกัน

                สรุปเลยว่าไรชาลุงเดชเป็นอีกสถานที่หนึ่งในเชียงใหม่ที่น่าสนใจ และคุ้มค่ากับการเที่ยวมาก ๆ ทั้งการเดินทางและค่าใช้จ่ายถือว่าไม่มากเลย แล้วยังได้พักผ่อนทามกลางธรรมชาติที่สวยงาม แถมยังได้อากาศบริสุทธิ์กลับบ้านไปด้วย ถ้ามีเวลาไม่มาก แล้วไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนในเชียงใหม่ ก็แนะนำไร่ชาลุงเดชนี่เลย

ไปหวาดเสียวกับน้ำตกทีลอซู น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทยกัน

ถ้าพูดถึงความหลากหลายทางธรรมชาติ หรือสถานที่ธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และในอากาศที่มีฝนชุกตลอดแบบนี้ ก็มีสถานที่ที่หนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือน้ำตก แต่น้ำตกในประเทศไทยก็มีหลากหลาย เพราะประเทศไทยมีภูเขาและเทือกเขาสลับซับซ้อน แต่ถ้าจะให้พูดถึงน้ำตกที่สวยที่สุด สูงที่สุด หวาดเสียวที่สุด ก็คงไม่พ้นน้ำตกแห่งนี้ “น้ำตกทีลอซู”

                น้ำตกทีลอซู ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นน้ำตกที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การเดินทางเข้าไปค่อนข้างลำบาก เพราะน้ำตกอยู่ใจกลางป่าลึก การเข้าไปถือว่าเป็นการวัดใจเหล่านักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน ทางเข้าค่อนข้างแคบและขดเคี้ยว ถ้าใครชอบความหวาดเสียวและรักการผจญภัย การเดินทางเข้าไปก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับนักท่องเที่ยวสายลุยหลาย ๆ คน นอกจากความเสียวระหว่างทาง เราจะได้พบเจอกับธรรมชาติที่ค่อนข้างหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้แต่ละต้นสีเขียวสดรอต้อนรับนักที่ยวอย่างเรามาเยี่ยมชม ซึ่งบอกเลยว่าวิวระหว่างทางก็เล่นเอาเราประทับใจจนลืมความลำบากไปเลยก็ได้

การเดินทางมาเที่ยวน้ำตกนั้นต้องมีเวลาอย่างน้อย 2 คืน 3 วัน ด้วยระยะทางและการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก เราต้องมีการแวะพักที่จุดกางเต็นท์เป็นเวลาหนึ่งคืน เรียกได้ว่าเหมือนพาร่างกายมานอนในป่าลึก เพื่อรอชมความสวยงามที่เราจะเจอ ความชุ่มชื้นในป่าทำให้อุณหภูมิลดลงนิด ๆ เหลือราว ๆ 20 องศา อากาศกำลังเย็นสบายจนสามารถนอนหลับได้ในบรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ พร้อมกับเสียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ร้องประสานเสียงตลอดทั้งคืน เป็นการกล่อมนอนหลับดี ๆ นี่เอง

                หลังจากที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ตลอดทั้งวัน วันต่อมาก็จะมีแพยางพานักท่องเที่ยวไปถึงน้ำตก ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้น การเดินทางที่แสนลำบากนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ประการณ์แปลกใหม่ สำหรับการเดินทางด้วยแพยางเป็นการเดินทางไปน้ำตกด้วยทางน้ำ คราวนี้เราจะเห็นธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะระหว่างทางก็เล่นเอาทุกคนตาค้างได้เหมือนกัน แค่ความสวยระหว่างทางก็เล่นเอาร้องว้าวกันแล้ว เตรียมกล้องให้พร้อมเพื่อลั่นชัตเตอร์ให้กับรูประหว่างทางและเซลฟี่กับธรรมชาติกันเถอะ สำหรับการล่องแพจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะต้องเดินทางด้วยรถยนต์ต่ออีก 1 ชั่วโมง ทางจะลำบากกว่าตอนแรกที่เจอมาก ถนนตลอดทางจะเป็นลูกรังสลับกับคอนกรีต เรียกว่าอุปสรรคทางธรรมชาติที่ท้าทาย ก่อนที่จะพบความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเหล่านักท่องเที่ยวจะต้องเดินต่อด้วยทางเท้าอีก 1.5 กิโลเมตร ในระหว่างที่เราเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลิน หูก็เริ่มจะได้ยินเสียงของน้ำไหล ในที่สุดก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่าน้ำตกทีลอซูนั่นเอง สวยสมคำล่ำลือที่หลายคนมักบอกว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศ และมันก็เป็นดังคำพูดเหล่านั้นจริง ๆ การมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นตากว่ามองในรูปถ่ายเยอะ

                ถ้ายังไม่รู้จะไปเที่ยวน้ำตกที่ไหน น้ำตกทีลอซูก็เป็นทางเลือกให้เหล่านักผจญภัยและรักธรรรมชาติได้มาเยี่ยมชม ถึงการเดินทางจะลำบาก แต่เชื่อว่าทุกคนต้องหอบเอาความประทับใจไปเล่าต่อได้อย่างสนุกแน่นอน และน้ำตกแห่งนี้ก็ยังรอต้อนรับนักเที่ยวอยู่เสมอ มาเที่ยวกันนะ

หนีอากาศร้อน ไปนอนรับไอเย็นที่ ‘ปางอุ๋ง’

ถ้าอยากไปสวิตเซอร์แลนด์ประเทศในฝันของใครหลายคน แต่ก็มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เรามีตัวเลือกแห่งใหม่ เป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ตื่นเช้ามารับบรรยากาศเย็น ๆ พร้อมเทือกเขาสวย ๆ เราจะพาไปที่ ‘ปางอุ๋ง’ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติกที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงต่างประเทศ แถบค่าใช้จ่ายก็ไม่บานปลาย เราหนีร้อนไปพึ่งเย็นกันดีกว่า รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

                ปางอุ๋ง หรือโครงการพระราชดำริปางตอง ตั้งอยู่ที่บ้านรวมไทย ตำบลหมอกจำแป่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีคำสั่งให้ฟื้นฟูพื้นที่แห่งนี้ และทรงพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านที่นี่ เนื่องจากในอดีตมีการบุกรุกป่าและตัดไม้ทำลายป่าเป็นเวลานาน พระองค์ทรงอยากรักษาสภาพป่าให้กับมาสมบูรณ์อีกครั้ง หลังจากนั้นปางอุ๋งเลยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์อย่างทุกวันนี้

                และเหล่านักท่องเที่ยวอย่างเราก็ไม่ควรพลาดที่จะต้องมาชมที่นี่เป็นบุญตาสักที ว่ามันสวยสมคำที่เขาล่ำลือกันหรือเปล่า ใครที่รักการท่องเที่ยวธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์เหล่านักอนุรักษ์เป็นอย่างดี ควรเดินทางล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อมานอนกางเต็นท์ดูหมอกในช่วงเช้า หมอกจาง ๆ ที่อยู่บริเวณผิวน้ำ นี่ล่ะคือไฮไลท์เด็ดที่เล่นเอาตาค้างไปเลยทีเดียว สวยไม่แพ้สวิตเซอร์แลนด์เลยนะ นอกจากนั้นถ้าโชคเข้าข้าง เราจะเห็นหงส์สีขาวและหงส์สีดำในช่วงเช้าที่หมอกกำลังลง มาว่ายน้ำให้เราได้กดชัตเตอร์เล่นด้วย ถือว่าได้ภาพกลับไปอวดเพื่อน ๆ ที่ทำงานแน่นอน นอกหนือจากนอนกางเต็นท์แล้ว ยังมีกิจกรรมอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นั้นก็คือ การล่องแพชมวิว เพื่อชมธรรมชาติรอบ ๆ ปางอุ๋ง เราจะได้เห็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ไม่ว่าจะเป็นดอกไฮเดรนเยีย พวงแสด และกุหลาบ งานนี้ไม่กดถ่ายรูปไม่ได้แล้ว

                กลางคืนก็สวยไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย ถ้าใครที่ชอบดูดาว กลางคืนจะเห็นดาวชัดมาก ด้วยบรรยากาศรอบ ๆ ที่ค่อนข้างมืด มานอนดูดาวข้างนอก ก็เรียกว่าฟินไม่น้อยเหมือนกัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่มากับแฟน เรียกว่าที่นี่โรแมนติกสุด ๆ เหมือนมาเติมความหวานให้คู่ตัวเองเพิ่มอีกด้วย แต่ใครที่มาคนเดียว งานนี้ไม่เหงาแน่นอน อาจจะได้ความสุขกลับไปมากกว่าเดิมก็ได้ ประสบการณ์พิเศษแบบนี้ไม่มาสัมผัสด้วยตัวเองคงเสียดายแย่ ถ้าใครยังมีข้ออ้างว่าไม่มีงบไปเที่ยวไกล ๆ ปางอุ๋งก็เป็นตัวเลือกที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงแถมได้บรรยากาศแบบสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วยนะ

                ถ้าเหงาจนไม่รู้อยากไปเที่ยวไหน หรืออยากตื่นมาเจอเทือกเขาหมอกจาง ๆ ตรงหน้า ก็อยากให้ทุกคนมาลองสัมผัสบรรยากาศที่นี่ มันสวยกว่าคำที่เขาล่ำลื่อกันเสียอีก ทั้งธรรมชาติที่สมบูรณ์ หรืออากาศเย็น ๆ ที่ตื่นมาก็รับความสดชื่นกันเต็ม ๆ มาดูดออกซิเจนให้เต็มปอด พาร่างกายมารับไออุ่น มากอดธรรมชาติที่ปางอุ๋งกันนะ

แนะนำ 3 ร้านกาแฟสุดประทับใจ เมื่อไปสโลว์ไลฟ์ที่เมืองน่าน

จังหวัดน่าน เป็นจังหวัดเล็ก ๆ สะอาด สงบ ผู้คนน่ารัก และเมื่อคุณตั้งใจไป Slow life และเลือกจะสัมผัสวิถีเรียบง่ายของคนน่าน การเดินเที่ยวหรือปั่นจักรยานเที่ยวในตัวเมืองน่านก็น่าสนใจไม่น้อยเลย และหากมีเวลามากพอ การเข้าไปนั่งร้านกาแฟ จิบกาแฟหอมๆ เค้กอร่อยๆ ก็คงฟินไม่น้อยเลย วันนี้เราจะมาแนะนำร้านกาแฟในตัวเมืองน่าน มีที่ไหนบ้าง ไปติดตามกันเลย  

1. ร้านม่วงชาต (ร้านกาแฟภูฟ้า เดิม)

ร้านกาแฟภูฟ้าที่มีมานานได้เปลี่ยนชื่อและตกแต่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ตรงเชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน พอเดินเข้าไปในร้านจะเห็นชั้นวางสินค้าโอทอปหลากหลายชนิด นั่นหมายความว่านอกจากจะมีที่นั่งชิมกาแฟหอมกรุ่น ภายใต้การตกแต่งร้านได้เรียบและดูดีแล้ว คุณยังจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกพื้นเมืองที่เป็นผลิตผลของคนเมืองน่านอีกด้วย เมนูที่นี่มีทั้งกาแฟร้อน กาแฟเย็น และแบบปั่น นอกจากจากนี้ยังมีชาและน้ำผลไม้หลายชนิด รวมทั้งขนมเค้กและเบเกอรี่หอมๆ น่าทานมากๆ

2. เฮือนฮังต่อ

ร้านกาแฟพันธุ์เหนือแห่งนี้ ตั้งอยู่ข้างๆ วัดสวนตาล ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน โดยคำว่าเฮือนฮังต่อ เป็นภาษาเหนือ แปลเป็นภาษาไทยกลางก็คงประมาณว่า บ้านรังต่อ ที่นี่เป็นร้านใหญ่ มีเรือนไม้สองชั้น และรอบๆ เรือนก็มีพื้นที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยต้นไม้ให้ความร่มรื่น มีที่นั่งเยอะมาก ลูกค้าที่มาเลือกนั่งได้ตามใจชอบทั้งใต้อาคารไม้ ใต้ร่มไม้ โต๊ะกลางแจ้งบนสนามหญ้าก็มี ด้วยความร่มรื่นของร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงแวะเวียนมานั่งคุยเล่น ใช้เวลานานได้นาน มีโต๊ะใหญ่สามารถนั่งประชุมงานแบบชิลล์ๆ โดยเมนูกาแฟของที่นี่มีร้อน เย็น ปั่นแบบมาตรฐาน ราคาไม่แพง และยังมีพวกเค้กและขนมขบเคี้ยวเลือกหลากหลายชนิดเลย

3. บ้านๆ น่านๆ ห้องสมุดและเกสต์โฮม

                เป็นเกสต์โฮมที่เปิดขายกาแฟด้วย ที่นี่เป็นบ้านไม้สองชั้น แฝงตัวอยู่กับพืชพรรณน้อยใหญ่หลังรั้วบ้านน่ารักๆ  ข้างถนนมณเฑียร ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน บ้านไม้ที่ว่านี้บนชั้นสองนั้นเปิดเป็นพักซึ่งมีเพียง 5 ห้อง และชั้นบนอีกโวนหนึ่งยังเปิดเป็นห้องสมุด มีหนังสือเก่าใหม่น่าสนใจเยอะมาก ส่วนด้านล่างเป็นร้านกาแฟและมีโต๊ะให้กินกาแฟ และสามารถเอาหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านได้ด้วย ได้อารมณ์หนอนหนังสือที่พอละสายตาก็เงยหน้าขึ้นมาดูดกาแฟเย็น เป็นอะไรที่ชิวมาก ชอบมาก เหล่าฮิปเตอร์ที่มีโอกาสมาเที่ยวเมืองน่านไม่ควรพลาดร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง

                ระหว่างการเดินทาง เมื่อเราชอบที่ไหนแล้ว เรามักจะจดจำและเอามาบอกต่อ บอกถึงสิ่งที่เราพบเห็นแล้วชอบ บอกความรู้สึกของเราเมื่อพบเจอ บอกถึงความกระตือรือล้นที่อยากจะแบ่งปันให้เพื่อนได้รู้ เกิดเป็นการสื่อสารที่นำมาซึ่งอารยธรรม…และดูเหมือนว่า อารยธรรมของคนยุคนี้จะมีเรื่องเกี่ยวกับร้านกาแฟเยอะน่าดู และเมื่อเรามาแบ่งปันข้อมูลร้านกาแฟ เราคือกลุ่มคนผู้ส่งผ่านอารยธรรม…ใช่ไหมนะ

ผจญภัยสุดแอดเวนเจอร์ โหนสลิงกลางป่าแม่กำปอง ที่ Fight of the Gibbon @เชียงใหม่

เชียงใหม่เป็นปลายทางของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนที่ต้องการมาพักผ่อนหาความสงบในวันหยุด เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน แหล่งท่องเที่ยวของเชียงใหม่นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมชาติ อย่างน้ำตก ภูเขา น้ำพุร้อน สวนดอกไม้ หรือจะเป็นทางวัฒนธรรมและประเพณีที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี เช่น งานประเพณีลอยกระทง รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ (ปี๋ใหม่เมือง) ไปจนถึงงานนับถอยหลังรับปีใหม่  แต่โปรแกรมเที่ยวเชียงใหม่จะมีแค่กิจกรรมชิลล์ ๆ อย่างเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เดินเล่นไปรอบ ๆ คูเมือง หรือหาซื้อของฝากจากตลาดต่าง ๆ และถนนคนเดินเท่านั้นหรือ? ไม่อย่างแน่นอน

                ที่ Flight of the Gibbon สาขาเชียงใหม่มีกิจกรรมผจญภัยผาดโผน อย่างการเล่นซิปไลน์ (Zip line) หรือการโหน สลิงหลายสิบเมตรเหนือยอดไม้ให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสุดเหวี่ยงปนหวาดเสียว ท่ามกลางป่าฝนเขตร้อนด้วยเช่นกัน

                Flight of the Gibbon คืออะไร?

                Flight of the Gibbon เป็นชื่อเรียกเส้นทางซิปไลน์ที่พาดผ่านป่าแม่กำปอง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะทางรวม 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยสถานีผจญภัยกว่า 33 สถานี สะพานลอยฟ้า 3 แห่ง และหอโรยตัวอีก 2 แห่ง ใช้เวลาทั้งสิ้น 7-8 ชั่วโมง รวมเวลาเล่นและเดินทางไป-กลับ

ตลอดเส้นทางผจญภัยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณธรรมชาติและสัตว์ป่าควบคู่ไปด้วย และที่สำคัญ เส้นทางธรรมชาตินี้จะทำให้คุณมีโอกาสพบเห็นสัตว์ป่าในพื้นที่อย่างชะนี (Gibbon) ในระยะประชิดด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ Flight of the Gibbon นั่นเอง

                ร่วมผจญภัยกับ Flight of the Gibbon ได้อย่างไร?

                อันดับแรกนักท่องเที่ยวจะต้องทำการจองแพ็คเกจจากเว็บไซต์หลักของ Flight of the Gibbon ก่อน เมื่อทำการจองเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะมีรถรับส่งจากทาง Fight of the Gibbon มารับถึงที่พักตามวันเวลาที่มีการนัดหมายกันไว้ ในช่วงเวลา 6:00 น. – 7:30 น. แล้วมุ่งหน้าสู่สำนักงาน Gibbon ในแม่กำปอง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 55 นาที โดยระหว่างนี้ในรถจะมีการเปิดวิดีโอแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวได้รับชม

                เมื่อเดินทางมาถึงสำนักงาน สิ่งแรกที่ผู้เล่นซิปไลน์ต้องทำคือกรอกข้อมูลส่วนตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะนำหมวก สายรัดนิรภัย และอุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัยต่าง ๆ มาสวมให้ เสร็จจากขั้นตอนนี้ก็กระโดดขึ้นรถอีกครั้งได้เลย เจ้าหน้าที่จะขับรถพาผู้เล่นไปสู่สถานีแรก ซึ่งจะมีไกด์คอยให้คำแนะนำว่าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งแจ้งเกี่ยวกับข้อห้ามในการโหนสลิง เช่น ผู้เล่นไม่ควรสวมเครื่องประดับที่ไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยขัดข้องได้

                การเล่นโหนสลิงในที่สูงปลอดภัยไหม?

                นอกจากจะเป็นเส้นทางซิปไลน์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงที่สุดในเอเชียแล้ว Flight of the Gibbon ยังมีการจำกัดจำนวนผู้เล่นสูงสุดคนแค่ 9 คนต่อ 1 กลุ่มเท่านั้น แต่ละกลุ่มจะมีพี่เลี้ยงระดับมืออาชีพคอยดูแลถึงสองคน ถือเป็นมาตรการเสริมด้านความปลอดภัยที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกไว้วางใจมากยิ่งขึ้น

                ปลดปล่อยอะดรีนาลีนให้พลุ่งพล่าน ด้วยการโหนสลิงผ่านยอดไม้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของป่า

                ในสถานีแรก ๆ นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยเล่นซิปไลน์มาก่อนอาจจะรู้สึกหวาดกลัวได้ แต่หลังจากเล่นโหนสลิง 2-3 สถานีแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายกับระดับความสูงของสายสลิงมากขึ้น จนกลายเป็นเพลิดเพลินกับกิจกรรมผาดโผนอันแสนตื่นเต้นนี้ได้ในที่สุด

                บางสถานีจะเพิ่มความท้าทายมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ในสถานีหอโรยตัวหรือสะพานลอยฟ้า ผู้เล่นจะต้องอาศัยทักษะการปีนเขาสักเล็กน้อยเพื่อไต่ระดับลงมายังพื้นเบื้องล่าง แต่รับรองว่าไม่ยากเกินกำลังเลย เพราะจะมีพี่เลี้ยงดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน

                ทิ้งทวนภาพแห่งความประทับใจ หลังจบทริปพิชิตป่า        

                ในกลุ่มซิปไลน์แต่ละกลุ่มจะมีช่างภาพติดตามไปถ่ายภาพการผจญภัยด้วย ซึ่งพอเสร็จสิ้นจากการพิชิตเส้นทางซิปไลน์ครบทุกสถานีแล้ว ผู้เล่นสามารถซื้อเซ็ตภาพถ่ายจากช่างภาพ ในราคาประมาณ 100 บาทต่อเซ็ต

                กิจกรรมโหนสลิงจะจบลงในช่วงกลางวันพอดี ซึ่งจะมีรถรับส่งพาผู้เล่นไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารท้องถิ่นที่ทาง Flight of the Gibbon จองไว้ ต่อด้วยการพาไปเที่ยวชมหมู่บ้านชาวเขา และเอาเท้าจุ่มน้ำคลายเหนื่อยที่น้ำตกแม่กำปองเป็นกิจกรรมเบาๆ ปิดท้าย

                ทว่า ขึ้นชื่อว่ากิจกรรมผาดโผนแล้ว ความเหนื่อยล้าร่างกายคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือช่วยให้นอนหลับสนิท พร้อมตื่นมารับวันใหม่อย่างสดชื่น และคงเป็นอย่างที่นักผจญภัยหลายคนได้ว่าไว้ ว่าการผจญภัยนั้น ยิ่งเหนื่อย ยิ่งประทับใจ ยิ่งสนุก

สัมผัสมนต์เสน่ห์ของดอกพญาเสือโคร่ง ที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)

โครงการหลวงขุนวาง หรือศูนย์วิจัยการเกษตรขุนวางเป็นสถานีวิจัยบนไหล่เขาอินทนนท์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากดอยอินทนนท์เป็นดอยที่มีความสูงที่สุดในประเทศ เมื่อถึงฤดูหนาว ไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิดก็จะผลิบานเต็มที่ อวดสีสันสดใสให้เราได้ชมอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน พืชพรรณบางชนิดมีให้ชมตลอดทั้งปี แต่สำหรับดอกนางพญาเสือโคร่งหรือเชอร์รีป่าแห่งหิมาลัย (Wild Himalayan Cherry) นั้น จะบาน สพรั่งแค่ปีละครั้ง แต่ละครั้งจะบานราว ๆ 1-2 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ โรยไป

ดอกนางพญาเสือโคร่งมีสีขาว ชมพู และแดง ออกเป็นช่อใกล้ปลายกิ่ง มองเผิน ๆ ดูคล้ายคลึงกับดอกซากุระ ดอกไม้งามขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง ดอกนางพญาเสือโคร่งจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซากุระเมืองไทย”

การเดินทางไปยังโครงการหลวงขุนวาง 

รถยนต์ส่วนตัว ศูนย์วิจัยการเกษตรขุนวาง ใช้เวลาขับรถจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ประมาณ 2 ชั่วโมง จากสนามบินใช้เส้นทางหมายเลข 108 แล้วเลี้ยวขวาสู่ถนนหมายเลข 1009 ที่อำเภอจอมทอง มุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ ที่กิโลเมตรที่ 31 ให้เลี้ยวขวาไปยังถนนหมายเลข 1284 เพื่อเข้าสู่ศูนย์วิจัยฯ เส้นทางอาจคดเคี้ยวเล็กน้อย แต่โดยรวมถนนอยู่ในสภาพดี ยกเว้นบริเวณก่อนถึงทางเข้าสถานีเกษตรแม่จอนหลวง ที่อาจพบกับหลุมบ่อหลายแห่ง เป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร

รถเหมา นักท่องเที่ยวสามารถหารถเหมาจากในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วตรงไปยังขุนวางได้เลย หรือจะนั่งรถประจำทาง (สีเหลือง) ที่จอดให้บริการอยู่ที่สถานีขนส่งช้างเผือกไปยังอำเภอจอมทอง แล้วหารถเหมาไปส่งถึงที่ก็ได้

กิจกรรมการท่องเที่ยวภายในโครงการหลวงขุนวาง

เที่ยวชมนางพญาเสือโคร่ง ช่วงเวลาการผลิบานของดอกนางพญาเสือโคร่งค่อนข้างยากที่จะคาดการณ์ เพราะมักจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงเวลานั้น โดยปกตินางพญาเสือโคร่งจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนการเดินทาง นักท่องเที่ยวควรติดตามข่าวสารเป็นประจำ จะได้ไม่พลาดโอกาสในการเข้าชมดอกไม้ชนิดนี้

ชมแปลงสาธิตไม้เมืองหนาวหลายชนิด ถือเป็นอีกหนึ่งในไฮไลท์ของสถานีเกษตรขุนวางและแม่จอนหลวง ซึ่งผู้เข้าชมสามารถเดินดูรอบ ๆ สถานีเพื่อถ่ายรูประยะใกล้และเด็ดชิมผลไม้สด ๆ จากต้นได้

เที่ยวตลาดนัดผักผลไม้สดโครงการหลวง เปิดทำการทุกวัน ณ บริเวณประตูหลักของศูนย์วิจัยเกษตรขุนวาง จำหน่ายผักสดจากแปลงหลายชนิด เช่น ถั่วหวาน, บร็อคโคลี่, มะเขือเทศ, มะเขือเทศราชินี, หอมใหญ่, หัวไชเท้า, และพริกหยวก ในส่วนของผลไม้ก็จะมีองุ่นไร้เม็ด, กีวี่, ลูกพลัม, สตรอว์เบอร์รี่, เคพกู๊สเบอร์รี่ และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีใบชาจีนและใบชาสเปนอบแห้งวางจำหน่ายด้วย

ค้างแรมสัมผัสธรรมชาติ ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตผลทางการเกษตรเท่านั้น แต่โครงการหลวงขุนวางยังมีบริการที่พักให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติในฤดูหนาวที่สมบูรณ์แบบด้วย สำหรับที่พักภายในศูนย์ มีบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยวประมาณ 4-5 หลัง แต่ละหลังพักได้ไม่เกิน 10 คน สถานที่กางเต็นท์มีด้วยกันสองจุด อยู่ที่บริเวณลานหญ้าหน้าอาคารสำนักงานและบริเวณหุบรับเสด็จ มีอาหารบริการที่โรงอาหารของศูนย์วิจัยฯ พร้อมกาแฟอาราบิก้าให้ชิมฟรี

ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใกล้ชิดวิถีชีวิตชาวเขา ประชากรหลักในพื้นที่โครงการหลวงขุนวางคือชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง โดยช่วงปีใหม่จะมีงานปีใหม่ของชาวม้ง และงานข้าวใหม่ของชาวกะเหรี่ยงให้ชม

เรียกได้ว่าเป็นทริปการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สุดแสนจะครบรส ท่ามกลางความสวยงามของหมอกขาวที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักการเที่ยวชมโครงการหลวงขุนวางไปอีกนานแสนนาน และทุกปีคุณจะต้องกลับมาตากลมหนาวที่นี่อีกครั้ง