แนะนำ 3 ร้านกาแฟสุดประทับใจ เมื่อไปสโลว์ไลฟ์ที่เมืองน่าน

จังหวัดน่าน เป็นจังหวัดเล็ก ๆ สะอาด สงบ ผู้คนน่ารัก และเมื่อคุณตั้งใจไป Slow life และเลือกจะสัมผัสวิถีเรียบง่ายของคนน่าน การเดินเที่ยวหรือปั่นจักรยานเที่ยวในตัวเมืองน่านก็น่าสนใจไม่น้อยเลย และหากมีเวลามากพอ การเข้าไปนั่งร้านกาแฟ จิบกาแฟหอมๆ เค้กอร่อยๆ ก็คงฟินไม่น้อยเลย วันนี้เราจะมาแนะนำร้านกาแฟในตัวเมืองน่าน มีที่ไหนบ้าง ไปติดตามกันเลย  

1. ร้านม่วงชาต (ร้านกาแฟภูฟ้า เดิม)

ร้านกาแฟภูฟ้าที่มีมานานได้เปลี่ยนชื่อและตกแต่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ตรงเชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน พอเดินเข้าไปในร้านจะเห็นชั้นวางสินค้าโอทอปหลากหลายชนิด นั่นหมายความว่านอกจากจะมีที่นั่งชิมกาแฟหอมกรุ่น ภายใต้การตกแต่งร้านได้เรียบและดูดีแล้ว คุณยังจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกพื้นเมืองที่เป็นผลิตผลของคนเมืองน่านอีกด้วย เมนูที่นี่มีทั้งกาแฟร้อน กาแฟเย็น และแบบปั่น นอกจากจากนี้ยังมีชาและน้ำผลไม้หลายชนิด รวมทั้งขนมเค้กและเบเกอรี่หอมๆ น่าทานมากๆ

2. เฮือนฮังต่อ

ร้านกาแฟพันธุ์เหนือแห่งนี้ ตั้งอยู่ข้างๆ วัดสวนตาล ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน โดยคำว่าเฮือนฮังต่อ เป็นภาษาเหนือ แปลเป็นภาษาไทยกลางก็คงประมาณว่า บ้านรังต่อ ที่นี่เป็นร้านใหญ่ มีเรือนไม้สองชั้น และรอบๆ เรือนก็มีพื้นที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยต้นไม้ให้ความร่มรื่น มีที่นั่งเยอะมาก ลูกค้าที่มาเลือกนั่งได้ตามใจชอบทั้งใต้อาคารไม้ ใต้ร่มไม้ โต๊ะกลางแจ้งบนสนามหญ้าก็มี ด้วยความร่มรื่นของร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงแวะเวียนมานั่งคุยเล่น ใช้เวลานานได้นาน มีโต๊ะใหญ่สามารถนั่งประชุมงานแบบชิลล์ๆ โดยเมนูกาแฟของที่นี่มีร้อน เย็น ปั่นแบบมาตรฐาน ราคาไม่แพง และยังมีพวกเค้กและขนมขบเคี้ยวเลือกหลากหลายชนิดเลย

3. บ้านๆ น่านๆ ห้องสมุดและเกสต์โฮม

                เป็นเกสต์โฮมที่เปิดขายกาแฟด้วย ที่นี่เป็นบ้านไม้สองชั้น แฝงตัวอยู่กับพืชพรรณน้อยใหญ่หลังรั้วบ้านน่ารักๆ  ข้างถนนมณเฑียร ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน บ้านไม้ที่ว่านี้บนชั้นสองนั้นเปิดเป็นพักซึ่งมีเพียง 5 ห้อง และชั้นบนอีกโวนหนึ่งยังเปิดเป็นห้องสมุด มีหนังสือเก่าใหม่น่าสนใจเยอะมาก ส่วนด้านล่างเป็นร้านกาแฟและมีโต๊ะให้กินกาแฟ และสามารถเอาหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านได้ด้วย ได้อารมณ์หนอนหนังสือที่พอละสายตาก็เงยหน้าขึ้นมาดูดกาแฟเย็น เป็นอะไรที่ชิวมาก ชอบมาก เหล่าฮิปเตอร์ที่มีโอกาสมาเที่ยวเมืองน่านไม่ควรพลาดร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง

                ระหว่างการเดินทาง เมื่อเราชอบที่ไหนแล้ว เรามักจะจดจำและเอามาบอกต่อ บอกถึงสิ่งที่เราพบเห็นแล้วชอบ บอกความรู้สึกของเราเมื่อพบเจอ บอกถึงความกระตือรือล้นที่อยากจะแบ่งปันให้เพื่อนได้รู้ เกิดเป็นการสื่อสารที่นำมาซึ่งอารยธรรม…และดูเหมือนว่า อารยธรรมของคนยุคนี้จะมีเรื่องเกี่ยวกับร้านกาแฟเยอะน่าดู และเมื่อเรามาแบ่งปันข้อมูลร้านกาแฟ เราคือกลุ่มคนผู้ส่งผ่านอารยธรรม…ใช่ไหมนะ

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปไต้หวัน

ข้อมูลท่องเที่ยวไต้หวันด้วยตัวเอง
ปัจจุบันมีให้ค้นหาเพื่อเป็นแนวทางมากมายซึ่งถ้าอยากไปเที่ยวและว่างจากการเล่นเกม HappyLuke แล้วก็ สามารถเข้าไปดูข้อมูล
เช่น จากเว็บไซต์ โกวิวี่โก มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในไต้หวันที่น่าสนใจ ดังนี้
อุทยานแห่งชาติ หยางหมิงซาน(Yang Ming Shan National Park)
เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงไทเป ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นักปราชญ์
นักรบผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์หมิง ในพื้นที่มีบ้านพักตากอากาศของเจียงไคเช็ก
ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น บ่อน้ำพุร้อน ต้นซากุระ
ภูเขาไฟที่มอดแล้ว เป็นต้น
หยางหมิงซานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งจากชาวไต้หวันเอง
และนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากการเดินทางที่สะดวก และอยู่ไม่ไกลจากไทเป
ทำให้มีชื่อเล่นอีกชื่อว่าเป็น สวนหลังบ้านของไทเป
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเดินศึกษาเส้นทางชมธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์
มีสถานที่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มภูเขาไฟ Datun เป็นเทือกเขาหลักตั้งอยู่ในใจกลางของอุทยาน
ที่เมื่อเข้าไปใกล้ก็ยังได้กลิ่นกำมะถันอยู่ มีศาลาไว้สำหรับในชมวิวโดยรอบ
ใช้เวลาเดินจากเชิงเขาไปสู่ยอดเขาประมาณ 1 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งปลูกไม้ดอก หรือที่เรียกว่าดอกเผือกแห่งหยางหมิงซาน
ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมการปลูกดอกเผือกและสามารถซื้อกลับบ้านหรือเป็นที่ระลึกก็ได้
ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม ก็ยังจะได้ชมดอกซากุระบาน
โดยรอบบริเวณอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานให้ได้ชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติแห่งนี้ด้
วย

อุทยานแห่งชาติไท่หลู่เก๋อ (Taroko National Park) ไท่หลู่เก๋อ หรือ ทาโระโกะ
เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่อันดับ 2 ของไต้หวัน โดยคำว่า ทาโระโกะ
มาจากภาษาของชาวพื้นเมือง ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่ยิ่งใหญ่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งหมด 3 เมือง
ได้แก่ ฮวาเหลียน หนานโถว และ ไถจง
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากธรรมชาติได้อย่างสวยงาม
ภายในอุทยานเต็มไปด้วยทัศนียภาพของหุบเขา และเทือกเขาสลับซับซ้อน
ทั้งยังมีภูเขาหินแกรนิตจำนวนมาก
หน้าผาสูงชันที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำเป็นเวลานานนับล้านปี
รวมไปถึงพรรณพืชและสัตว์นานาชนิด และยังมี  จุดชมวิวที่น่าสนใจในเขตอุทยานได้แก่
ผานกนางแอ่น อุโมงค์เก้าโค้ง หอที่รำลึกฉางชุน น้ำตกหลูซุ่ย เป็นต้น
อุทยานแห่งชาติไท่หลู่เก๋อ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,700 เมตร
เป็นเขตพื้นที่ที่มีความหลากหลายของภูมิอากาศทำให้มีป่าไม้ชนิดต่างๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สน
ไผ่ ต้นโอ๊ค ซึ่งเป็นผืนป่าที่ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก

แนะนำ 7 สถานที่เช็คอิน ในจังหวัดชลบุรี

เมื่อเหน็ดเหนื่อย และเครียดกับการทำงานมาทั้งสัปดาห์ พอวันหยุดมาถึงหลายคนมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจใกล้ๆ และจังหวัดชลบุรี ก็คือที่พักผ่อนวันหยุดยอดฮิตของคนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง มาดูกันซิว่า คนมาเที่ยวชลบุรีเขาแวะพักแวะเช็คอินที่ไหนกันบ้าง

1. หาดพัทยา

ถ้ามาชลบุรี ใครๆ ก็นึกพัทยาเป็นอันดับแรก มีตั้งแต่หาดพัทยาเหนือ พัทยากลาง และพัทยาใต้ ตามแนวชายหาดพัทยามีถนนเลียบชายหาดที่ร่มรื่นสามารถเดินรับลมเย็นสบาย ทั้งนี้แถบพัทยาเหนือนั้นจะมีบรรยากาศคึกคักที่เต็มไปนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ สามารถมาเล่นกีฬาทางน้ำและเครื่องเล่นสุดตื่นเต้นอีกด้วย แถบพัทยากลางจะมีพวกห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ส่วนพัทยาใต้นั้นจะเป็นแถบที่เรียกว่าถนนคนเดิน หรือ Pattaya Walking Street

2. Pattaya Walking Street

เป็นสถานที่ยอดฮิตและโด่งดังไปทั่วโลก นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนเมืองไทยมักจะมีถนนคนเดินแห่งนี้เป็นหนึ่งในที่หมาย เรียกได้ว่าถ้าไม่มาวอล์คกิ้งสตรีทถือว่ามาไม่ถึงพัทยา ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผับ บาร์ สถานบันเทิงเริงรมณ์ เต็มไปด้วยสีสัน เพิ่มความแปลกใหม่ให้ชีวิต และหากเดินไปตามถนนสายนี้ ระหว่างทางจะมีโชว์เป็นระยะ ทั้งโชว์มายากล โชว์เต้น โชว์แปลกพิสดารก็มี ขอให้ได้มาซักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าประเทศไทยก็มีแบบนี้ !

3. หาดบางแสน

                อีกที่หนึ่งที่ฮิตไม่แพ้กัน คนไทยล้วนรู้จักและเป็นสถานที่ยอดนิยมมาอย่างยาวนาน ผู้คนมักจะมานั่งเล่น นอนเปล กินส้มตำและอาหารทะเล ถือเป็นสถานที่สุดคลาสิก ไม่รู้ทำไมบางแสนถึงได้เป็นสถานที่ที่คนเรายอมขับรถไปเพื่อไปนั่งคุยกันจนเมื่อย ต่อด้วยการนอนหลับไปซักชั่วโมง แล้วขับรถกลับบ้านได้แบบสบายๆ

4. แกรนด์แคนยอนคีรี

อยู่ใกล้ๆ บางแสน มีลักษณะเป็นเหมืองหินเก่าที่ปิดทำเหมืองไปแล้ว ปัจจุบันจึงเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้เข้าเยี่ยมชม ที่นี่โดดเด่นตรงมีทิวหินสีขาวคล้ายแกรนด์แคนยอน ตรงกลางเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ น้ำมีสีเขียวมกรกตงดงาม  ซึ่งกำลังที่สถานที่ท่องเทียวแห่งใหม่ของชลบุรีเพราะจุดถ่ายภาพที่มีฉากเท่ห์ๆ คูลๆ นั่นเอง

5. หน้ามนขนมหวาน

                ใกล้ๆ หาดบางแสนมีร้านกาแฟชิคๆ ข้างในร้านมีต้นไม้เขียวร่มรืน ร้านกว้างขวาง เลือกนั่งได้ทั้ง Indoor และ Outdoor มีมุมน่าถ่ายรูปเต็มไปหมด ส่วนเมนูก็มีทั้งกาแฟ เครื่องดื่มเย็นๆ ขนมหวาน และไปติมให้เลือกมากมาย ไม่แปลกใจที่ใครก็แวะหนีร้อนและเช็คอินที่นี่

6. สวนนงนุช

อยู่ใกล้ๆ พัทยา เป็นสวนกว้างกว่า 150 ไร่ สามารถมาเดินเล่น พักผ่อน ชื่นชมพรรณไม้หลากหลายซึ่งมีการแบ่งโซนและตกแต่งอย่างสวยงาม แถมยังจัดรอบการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การแสดงช้าง และเปิดโซนใหม่เอาใจเด็กๆ นั่นคือหุบเขาไดโนเสาร์นั่นเอง

7. J-Park

เป็นอเวนิวจำลองเป็นหมู่บ้านสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา ด้านในมีทั้งร้านอาหาร และร้านขายของน่ารักๆ เหมาะสำหรับเดินเล่นกับแก๊งเพื่อน แวะทานอาหารญี่ปุ่นซักร้าน และถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ก็ฟินดีไม่น้อยเลย

                ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่ยอดฮิตในชลบุรีเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วยังมีสถานที่เที่ยวอีกมากมาย ขอบอกว่าชลบุรีเป็นตัวเลือกที่เราแนะนำมากๆ หากคุณไม่ชอบเดินทางไกล ลองตามไปเช็คอินสิ แล้วอย่าลืมสำรวจที่ใหม่ๆ มาแบ่งปันกันด้วยนะ

หาดทรายแก้ว อีกหนึ่งหาดสวย น้ำใส ในจังหวัดชลบุรี

ถ้าจะพูดถึงทะเลในจังหวัดชลบุรีนั้น มีแนวชายหาดในเขตอำเภอบางละมุง ที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีและมีผู้เดินทางมาเยือนไม่เคยขาด เช่น ทะเลพัทยา หาดจอมเทียน เกาะล้าน และพอเดินทางลงมาทางใต้หน่อยก็จะเป็นแนวชายหาดและทะเลอำเภอสัตหีบ เช่น หาดบางเสร่ เกาะแสมสาร เกาะขาม ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่เที่ยวที่ได้รับความนิยม สำหรับวันนี้เราอยากจะมาแนะนำให้รู้จักหาดทรายแก้ว อีกหนึ่งหาดสวย และมีความเงียบสงบ ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอสัตหีบ

หาดทรายแก้ว โดดเด่นตรงที่เป็นหาดทรายขาวละเอียด ความยาวประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ เป็นหาดที่ไม่ลาดชัน น้ำบริเวณหน้าหาดจึงไม่ลึกนัก และน้ำทะเลใส เวลาพายเรือคายักไปรอบๆ หาดจะมองเห็นโขดหินใต้น้ำ และเรายังจะรู้สึกสงบเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนขึ้นมาจากน้ำทะเลสวยใจที่กระเพื่อมไปมา สถานที่แห่งนี้มีบ้านพักให้บริการสำหรับผู้ต้องการค้างคืน แต่มีจำนวนห้องไม่มากนัก และด้วยความที่เป็นชายหาดที่อยู่ภายใต้การดูแลของโรงเรียนชุมพลทหารเรือ สังกัดกรมยุทธศึกษาทหารเรือ จึงมีการจำกัดเวลาเข้าออก (ช่วงเวลาเข้าออก 06.00 – 22.00 น.) เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ค้างคืนที่หาด เมื่อตื่นเช้ามาจะพบกับบรรยากาศเงียบสงบเสมือนอยู่บนหาดส่วนตัว ที่พักหาดทรายแก้ว สามารถโทรจองได้ที่ศูนย์รับจองที่พัก โรงเรียนชุมพลทหารเรือ มีทั้งแบบอาคารทำด้วยคอนกรีต และแบบกระท่อมไม้ริมหาด โดยที่นี่จะปั่นไฟใช้ตอนกลางคืน จึงไม่แนะนำให้เอาพวกเตารีด ไดร์ฟเป่าผมมาใช้ เมื่อก่อนจะให้นักท่องเทียวกางเต้นท์ค้างคืน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะประกาศยกเลิก ครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวหาดทรายแก้วกับทีมงานและมากางเต้นท์ริมหาด กลางคืนบรรยากาศดีมาก นอนหลับไปพร้อมกับเสียงคลื่น แต่ตอนเช้าในช่วงที่เริ่มงัวเงีย ได้ยินเสียงคลื่นทะเลชัดขึ้นๆ และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนลอยน้ำอยู่ พอลืมตาตื่น…ที่ไหนได้ น้ำทะเลขึ้น และหอบเต้นท์ของเรากระเพื่อมไปมาอยู่ที่ริมหาด มีอีกครั้งหนึ่งที่กลับมาเที่ยวที่หาดนี้ คราวนี้จองบ้านพักแบบกระท่อมริมหาด ด้วยความที่เป็นคนที่มักจะพกเตารีดอันเล็กไปรีดผ้าด้วยเวลาเดินทาง เลยเสียบเตารีดที่บ้านพัก ปรากฎว่าไฟที่บ้านพักดับทันที และคืนนั้นก็ต้องอยู่แบบมืดๆ ทั้งคืน เป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและเป็นบทเรียนว่าไปพักที่ไหนต้องอ่านคำเตือนและข้อควรปฏิบัติให้ดี

สำหรับการเดินทางนั้นต้องใช้รถส่วนตัว หากมาจากพัทยาใช้ถนนสุขุมวิท จะมีป้ายทางเข้าโรงเรียนชุมพลทหารเรือ แล้วขับต่อไปถึงจุดจอดรถ ซึ่งหากเป็นวันจันทร์-ศุกร์ สามารถขับรถไปจอดที่บริเวณหาดได้เลย แต่สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ จะต้องจอดรถไว้ที่จุดจอดตรงนี้ แล้วนั่งรถรับส่งที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้เข้าไปที่หาด

ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวจังหวัดชลบุรีที่ไม่ควรพลาด ถ้ามาคนเดียวแนะนำให้หาโมเม้นท์เดินเล่นเหงาๆ ไปตามแนวหาด มองฟองคลื่นกระทบกับพื้นทรายขาว ปล่อยให้ลมทะเลกระทบใบหน้า แล้วหลับตาฟังเสียงคลื่น…ว้าว แค่คิดก็อยากไปอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่สำหรับคนที่ไปเป็นทีม เราแนะนำให้ชวนกันมาเล่นน้ำตอนเช้า สนุกสนานให้หนำใจ แล้วอาบน้ำให้ตัวหอมๆ แล้วมาสั่งข้าวต้มทะเลที่ร้านสวัสดิการ ยิ่งได้แย่งกันกินกับเพื่อนยิ่งอร่อย สนุกสนาน และน่าประทับใจไม่รู้ลืมเลย

5 จังหวัดที่ท้าให้ไปเยือนให้ได้ในปี 2019

ปี 2019 แล้ว มาตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายกันเถอะ บางคนอาจจะตั้งเป้าหมายเรื่องงาน บางคนอาจตั้งเป้าเรื่องความรัก และหลายคนอาจตั้งเป้าเรื่องการเก็บออมเงิน แต่สำหรับสายเที่ยวอย่างเรา อะไรจะท้าทายไปกว่าการได้ตั้งเป้าหมายการท่องเที่ยวให้ครบทุกจังหวัดของประเทศไทย !! แต่ครั้นจะเก็บให้ครบ 77 จังหวัดภายในปีนี้ก็ดูจะโหดเกินไป  เลยคิดว่าน่าจะตั้งเป้าไว้ซัก 5 จังหวัดก็พอ โดยเราได้เลือกที่เด็ดๆ มาให้คุณเลือก มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย !

เชียงใหม่

เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแบบ หลายอารมณ์ แถมยังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทุกมุมโลก  คุณสามารถเลือกเที่ยวในเมืองเชียงใหม่  เดินชมวัค ชมพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ตระเวนชิมกาแฟและขนมอร่อยๆ ตามคาเฟ่น่านั่งที่มีอยู่แทบทุกมุม  พอตกเย็นมีถนนคนเดินอันโด่งดังที่ใครๆ ต่างก็อยากมาสัมผัสซักครั้ง  เพราะนอกจากจะของพื้นเมืองน่ารักๆ มาวางขายแล้ว บรรยากาศถนนคนเดินยังมีเสน่ห์มากๆ นอกจากนี้ร้านรวงขายอาหารที่เปิดตอนกลางคืนก็มีให้เลือกหลากหลาย  มีผับ บาร์ ร้านดนตรีให้เลือกเข้าไปนั่งฟังเพลง พอรุ่งเช้าอีกวันก็สามารถเลือกทริปออกไปนอกเมืองเปลี่ยนบรรยากาศการเที่ยวเป็นแนวธรรมชาติ  ซึ่งมีสถานที่ดังๆ ขึ้นชื่อมากมายอาทิ ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง ดอยปุย ชมซากุระเมืองไทยที่ขุนแม่ยะ ขุนช้างเคี่ยน และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน  เป็นจังหวัดที่ได้ไปแล้วครั้งหนึ่งรับรองว่าต้องอยากไปอีกแน่นอน

พะเยา

จังหวัดเล็กๆ ที่ไม่ใช่ทางผ่าน ถ้าไม่ตั้งใจไปก็ไปไม่ถึงแน่นอน หลายคนคงเคยได้ยินกว๊านพะเยา แน่นอนว่ามาพะเยาต้องได้เจอทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แนะนำให้ไปกินอาหารขึ้นชื่อริมกว๊าน โดยเฉพาะเมนูปลาทั้งหลาย  นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารเหนือขึ้นกระจายอยู่ทั่วมุมเมือง พอออกนอกเมืองก็มีที่เที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง อุทยานแห่งชาติป่าแม่ปืม ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า และที่เริ่มได้รับความนิยมอย่าง วนอุทยานภูลังกา ไปสัมผัสอากาศเย็น  ชมทะเลหมอก นั่งดริ้งก์กาแฟชิลล์ๆ และสุดฟินกับการล้อมวงกินหมูกระทะ

ระนอง

จังหวัดเล็กๆ ที่กำลังได้รับความสนใจ และมีการพูดถึงมากขึ้นตั้งแต่ปี 2018 มีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจมากๆ อย่างเกาะพยาม เกาะสวย น่ารัก น้ำทะเลสวยใส เงียบสงบ เหมาะสำหรับหลบไปชาร์ตแบต มากเลย โดยการเดินทางจากท่าเรือบนฝั่งระนองไปเกาะพยามนั้นมีทั้งเรือบริการทุกวัน  นอกจากนั้นยังมีเกาะค้างคาว เกาะญี่ปุ่น และฟาร์มสเตย์ชื่อดังอย่างบ้านไร่ไออรุณ ที่มีบ้านพักน่ารักท่ามกลางธรรมชาติ  เสิร์ฟอาหารสดใหม่จากฟาร์ม และเดินทางไปชมวิว landscape สะกดสายตาที่ภูเขาหญ้าสองสี รับรองว่ามาระนองไม่ผิดหวัง

ตราด

จังหวัดที่หลบซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติของภาคตะวันออก  คนส่วนใหญ่รู้จักจังหวัดตราดตรงที่เป็นที่ตั้งของเกาะช้าง แต่นอกจากเกาะช้างแล้วยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ของตราดที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดทรายสวย น้ำทะเลใส บรรยากาศเงียบสงบอย่างอ่าวตาลคู่  หาดบานชื่น หรือบ้านท่าระแนะที่เป็นสถานที่เรียนรู้วิถีชุมชน และในเมืองตราดเองก็อาหารขึ้นชื่อให้ตระเวนชิม และมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ผู้คนน่ารักอีกด้วย

ชลบุรี

สำหรับสายเที่ยวแล้ว คงต้องบอกว่าน้อยคนนักที่ไม่เคยไปเที่ยวจังหวัดยอดฮิตอย่างชลบุรี ทะเลพัทยาก็เป็นอะไรที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก อยากเที่ยวทะเล ไม่รู้จะไปไหน เอะอะก็พัทยา ชลบุรีไว้ก่อน เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพขับรถ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่รู้ไหมว่านอกจากชายหาดและกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวที่พัทยาแล้ว ชลบุรียังมีที่เที่ยวอีกเยอะที่รอให้คุณไปเยือน ถ้าเป็นแนวทะเลสวย น้ำใส ก็จะเป็นเกาะแสมสาร เกาะขาม หาดทรายแก้ว อ.สัตหีบ เกาะสีชัง อ.ศรีราชา ถ้าเป็นแนวธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา ก็มีไร่องุ่นซิลเวอร์เลค อ่างเก็บน้ำบางพระ เขาชีจรรย์ และยังมีสวนน้ำ ปราสาท พิพิธภัณฑ์ และที่เที่ยวอื่นที่น่าสนใจอีกมากมาย

จังหวัดที่เราคัดเลือกมาฝาก บางจังหวัดนั้นเป็นจังหวัดยอดฮิตและเป็นจุดหมายของใครหลายคนอยู่แล้ว ส่วนจังหวัดเล็กๆ ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็หวังว่าจะกระตุ้นความอยากเที่ยวของคุณให้ไปเยือนทั้ง 5 จังหวัดที่เราคัดเลือกมาให้ได้ครบภายในปี 2019 นี้…แพ็คกระเป๋า แล้วไปเที่ยวกัน

เที่ยวแบบไหน มันใช่และเป็นสไตล์คุณ

เมื่อคุณเป็นคนหนึ่งที่มองหาที่เที่ยวอยู่เสมอ และไม่พลาดที่จะออกเดินทางเมื่อมีโอกาส  สิ่งที่ทำให้คุณเลือกว่าจะไปที่ไหน หรือไปสถานที่แบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นนักท่องเที่ยวสไตล์ไหน หรือภาษาอังกฤษอาจจะใช้คำว่า Travel Personality บุคลิกที่ว่านี้นอกจากจะเห็นได้จากสถานที่ที่เลือกไป แล้วยังจะเห็นได้จากแพลนการเที่ยว รูปแบบการเดินทาง และอื่นๆ ที่เป็นสไตล์เฉพาะตัวของคุณ มาดูกันว่าสไตล์การเที่ยวแบบไหนที่ใช่…สไตล์คุณ

นักท่องเที่ยวสายผจญภัย 

สำหรับผู้รักการผจญภัยทั้งหลาย คุณมักจะมองหาทริปที่เต็มไปด้วยกิจกรรมตื่นเต้นหลากหลาย เช่น บันจีจัมพ์ ปีนหน้าผา เดินป่า ล่องแก่ง คุณจะรู้สึกว่าการไปเที่ยวแต่ละที ต้องทำกิจกรรมให้คุ้มค่ากับเวลา การนั่งแกร่วรอเวลาให้ผ่านไปแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ น่ะเหรอ…ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกคุณสายผจญภัยแน่นอน เมื่อคุณคือสายบ้าพลังและชื่นชอบโมเมนต์สนุกสนานตื่นเต้น ทริปของคุณจึงไม่มีทางน่าเบื่อเลย สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่เราแนะนำให้สายผจญภัยไปลองซักครั้ง คือ ภูกระดึงที่จังหวัดเลย ล่องแก่งที่นครนายก  กิจกรรมผจญภัยที่แอดเวนเจอร์แลนด์ เชียงใหม่

นักท่องเที่ยวสายโรแมนติก

สายโรแมนติก มักจะฝันถึงบรรยากาศสวยๆ พระอาทิตย์ขึ้นพร้อมหมอกจางๆ พระอาทิตย์ตกพร้อมกับลมพัดเอื่อย หาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลสวยใส ดอกไม้เบ่งบาน หรือแม้แต่อาคารเรียงรายสวยงาม กิจกรรมที่คุณชื่นชอบมักจะเป็นการเดินสวยๆ รับลมเย็นๆ เดินเล่นชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ หาที่นั่งจิบชาชิลล์ๆ ทานมื้อค่ำอร่อยๆ ใต้แสงเทียน ซึ่งเส้นทางที่เราแนะนำให้สายโรแมนติก คือ ชมพระอาทิตย์ที่แหลมพรหมเทพและล่องเรือยอร์ชที่ภูเก็ต สัมผัสอากาศหนาวและชมดอกพญาเสือโคร่งที่เชียงใหม่

นักท่องเที่ยวสายบุญ

ฟังชื่อก็พอรู้แล้วว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีจุดหมายที่อยากไป  คือ วัด ศาสนสถานหรือพวกสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ทั้งหลาย  กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสายบุญชื่นชอบคงเป็น การเดินทางไปไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การปล่อยนกปล่อยปลา รวมทั้งการเดินชมความงดงามของวัดโบราณ ทริปยอดฮิตคงจะเป็นการไหว้พระเก้าวัด สิบเอ็ดวัดก็ว่ากันไป  หรือกระทั่งการปั่นจักรยานชมอุทยานประวัติศาสตร์ก็เหมือนจะเป็นกิจกรรมที่หลายท่านชื่นชอบเช่นกัน เราขอแนะแนะนำสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นที่ศึกษาธรรม ที่สงบ และมีธรรมชาติร่มเย็นมาก และอีกที่หนึ่งคือวัดใหญ่สว่างอารมณ์ เกาะเกร็ด นนทบุรี นอกจากได้ไปไหว้พระแล้วยังมีตลาดน้ำให้เดินชอป ชิม ชิลล์อีกด้วย

นักท่องเที่ยวไร้สาย หรือพวกคอมบายรวมหลายสายไว้ด้วยกัน

คุณไม่มีความชอบที่ตายตัว ทริปไหนน่าสนใจ แล้วอารมณ์มันได้ คุณจะไปทันที หรือบางทีคุณอาจจะแค่ตามใจเพื่อน แค่ได้ไปเฮเฮกับเดอะแก๊งคุณก็สุขใจแล้ว  สำหรับคุณที่เป็นนักท่องเที่ยวไร้สาย อาจเป็นคนที่ได้รับคำชวนจากเหล่าเพื่อนๆ บ่อยกว่าใคร เพราะคุณเป็นคนที่เที่ยวได้ทุกที่ทุกรูปแบบนั่นเอง เราจึงแนะนำสถานที่เที่ยวใกล้กรุงเทพที่มีกิจกรรมรองรับหลายรูปแบบให้คุณได้เลือกได้ตามสบาย ไม่ว่าจะเป็นกาญจนบุรี นครนายก  และพัทยา จังหวัดชลบุรี

การวางแผนทริปเที่ยวของคุณ ควรเลือกสถานที่และกิจกรรมที่ตัวคุณชอบ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความประทับใจที่ตราตรึง และกลายเป็นเหมือนเชื้อไฟคอยกระตุ้นให้คุณอยากออกเดินทางท่องเที่ยวได้อีกหลายครั้ง

เปิดสำรับอาหารประจำท้องถิ่นเมืองชุมพร

อำเภอชุมพรตั้งอยู่ตอนบนสุดของภาคใต้ ถือเป็นประตูสู่ภาคใต้อย่างแท้จริง นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางลงไปยังจังหวัดอื่นของภาคใต้ ทั้งทางฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน ก็จะต้องผ่านจังหวัดนี้ก่อน แต่น้อยคนนักที่จะแวะชื่นชมแหล่งท่องเที่ยวของชุมพรโดยไม่ผ่านเลยไป เพราะชุมพรไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวของภาคใต้

อย่างไรก็ดี ดังเช่นคำขวัญของเมืองชุมพรที่ว่า ประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรมฯ ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก ในความเป็นจริงแล้ว ชุมพรที่เที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเลสีฟ้าคราม หาดทรายขาวเลื่องชื่อที่ยาวนับร้อยกิโลเมตร เกาะแก่งน้อยใหญ่ ไร่กาแฟ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่สักการะบูชาของคนท้องที่ และภูเขาเขียวขจีที่มีงดงามไม่แพ้จังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ และชุมพรยังเป็นดินแดนแห่งผลไม้ เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด กล้วยเล็บมือนาง ลางสาด ลองกอง ระกำ ส้มโชกุน ฯลฯ แถมยังมีกับข้าวท้องถิ่นและของฝากให้เลือกชิมเลือกช็อปอย่างไม่หวาดไม่ไหว

วันนี้เราจะมาเล่าสู่กันฟังถึงกับข้าวท้องถิ่นของชาวชุมพร ต้องบอกเลยว่านอกจากแวะชุมพรเที่ยวแล้ว อย่าลืมแวะชิมอาหารด้วยนะ ส่วนจังหวัดนี้เขามีอาหารอร่อยอะไรที่ควรได้ลองทานสักครั้ง ลองมาติดตามกันดู

กับข้าวของชาวชุมพร

ด้วยความที่ชุมพรอยู่ติดกับชายฝั่ง อาหารหลักของชาวชุมพรจึงหนีไม่พ้นอาหารทะเล ซึ่งมีวิธีปรุงอาหารคล้าย ๆ ภาคกลาง คือไม่เน้นความเผ็ดจัดจ้านมากนัก แต่ก็ไม่หนีไปจากรสชาติความเป็นอาหารปักษ์ใต้ และเน้นใช้ผักพื้นบ้านมาประกอบอาหารเช่นเดียวกับอาหารใต้ทั่วไป เมนูขึ้นชื่อของชาวชุมพรมีดังนี้

ปลาหมึกต้มหวาน ทะเลชุมพรมีปลาหมึกกล้วยชุกชุมตลอดทั้งปี จึงนิยมนำปลาหมึกกล้วยสดมาต้มหวาน โดยนำมาล้างน้ำสะอาด ควักขี้ออกจนหมด จากนั้นตั้งน้ำสะอาดให้เดือด ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและหอมแดง เพิ่มความหวานด้วยหอมแดงทุบ พอรสชาติเข้าที่แล้วถึงจะใส่ปลาหมึกที่บั้งแล้วลงไป เคี่ยวพอสุกประมาณ 5 นาทีแล้วยกลง ปลาหมึกจะไม่แข็งหรือเหนียวเกินไป

หลนไตปลา ที่ชุมพรมีปลาทูมากพอ ๆ กับสัตว์น้ำชนิดอื่น ชาวบ้านจึงนิยมควักเครื่องในปลาทู ที่เรียกว่าขี้ปลาหรือไตปลา มาหมักเกลือเก็บไว้ในขวดโหลประมาณ 1 เดือน แล้วจึงนำมาเคี่ยวกับกะทิจนแห้งขลุกขลิก ปรุงรสให้ออกเปรี้ยวหวาน และแต่งกลิ่นให้หอมด้วยใบมะกรูด เสิร์ฟพร้อมผักสดเป็นเครื่องแนม

ปลาส้มปลากระบอกกับใบชะมวงอ่อน ใช้ปลากระบอกเป็นวัตถุดิบหลัก เครื่องแกรงประกอบด้วยพริกแห้ง ขมิ้น เกลือป่น หอมแดง และกะปิ นำมาโขลกรวมกัน สูตรพื้นบ้านนิยมใช้ข้าวสารใส่ลงไปเล็กน้อยพื่อให้น้ำแกงข้น

ใบเหลียงผัดไข่ ใบเหลียงเป็นผักพื้นบ้านยอดนิยม ไม่ใช่แค่นำมาผัดไข่เท่านั้น ยังสามารถนำมาต้มกะทิ ทำแกงเลียง ผัดใส่หมู ใส่ห่อหมก หรือจิ้มน้ำพริกก็ได้

เคยคั่ว ซึ่งก็คือกะปิคั่วนั่นเอง โดยใช้เครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ อย่างตะไคร้ หอมแดง ข่าอ่อน มาโขลกรวมกับกะปิและกุ้งสด ก่อนจะตั้งหม้อเคี่ยวหัวกะทิจนแตกมัน แล้วนำเครื่องโขลกที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน

แกงเคยเกลือ ปรุงคล้ายกับแกงเลียงของภาคกลาง โดยนำหอมแดง พริกไทย กระชายมาโขกรวมกัน ผสมกะปิและนำกุ้งสดมาโขลกรวมด้วย เพื่อให้น้ำซุปหวาน จากนั้นปรุงรสให้ได้ที่ แล้วใส่ผักหลายชนิดลงไป เช่น ผักหวาน บวบ แตงกวา ข้าวโพดอ่อน ตำลึง ถั่วผักยาว เป็นต้น พอผักสุกแล้วใส่ใบแมงลักแล้วยกลงทันที

แกงเนื้อย่างหัวตาลอ่อน เป็นแกงเผ็ดเนื้อที่ใช้ลูกตาลอ่อนเป็นส่วนประกอบพิเศษ แต่เมนูนี้หาชิมได้ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นเมนูพื้นบ้านอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่นิยมทำกินกันแค่ในครัวเรือน

แกงหมูกล้วยดิบ แกงกะทิที่มีเนื้อหมูและกล้วยดิบเป็นส่วนประกอบหลัก รสชาติคล้ายแกงเผ็ดของภาคกลาง แต่ใช้ใบส้มแป้นและพริกชี้ฟ้าแต่งหน้า

ยำสาหร่าย ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ยำหร้าย” ชาวบ้านมักจะเก็บสาหร่ายที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาตามชายฝั่งมาลวกในน้ำเดือดให้สุก จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปยำด้วยพริกแห้งคั่ว หอมแดงเผา กระเทียมโขลก และกะปิย่าง ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกและน้ำตาลปี๊บ เพิ่มรสสัมผัสที่แปลกใหม่ด้วยมะพร้าวคั่ว นิยมใส่ปลาย่าง กุ้งลวก หรือปลาหมึกลวกลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ

ข้าวเหนียวอุบ เป็นขนมทานเล่นจากสมัยโบราณที่คนพื้นบ้านยังคงนิยมทำกินกันอยู่ รสชาติหวานมันกลมกล่อมด้วยน้ำกะทิ ข้าวเหนียวผ่านการอุบจนมีรอยเกรียมเล็กน้อย เหนียวนุ่มและมีกลิ่นหอมจากการอุบเตาถ่าน บางทีจะนำใบตองรองก้นกระทะเวลาอุบ ช่วยให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น

แม้กับข้าวพื้นบ้านบางอย่างของชาวชุมพรจะหาทานไม่ได้ง่ายนัก แต่ก็มีร้านอาหารที่ขายอาหารพื้นเมืองอยู่หลายร้าน หรือหากคุณมีคนรู้จักเป็นคนท้องที่ จะวานให้เขาทำกับข้าวให้ทานก็ได้นะ รับรองว่าชาวชุมพรยินดีแสดงฝีมือการทำอาหาร ด้วยวัตถุดิบสดใหม่จากท้องทะเลทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงอย่างแน่นอน

ผจญภัยสุดแอดเวนเจอร์ โหนสลิงกลางป่าแม่กำปอง ที่ Fight of the Gibbon @เชียงใหม่

เชียงใหม่เป็นปลายทางของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนที่ต้องการมาพักผ่อนหาความสงบในวันหยุด เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน แหล่งท่องเที่ยวของเชียงใหม่นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมชาติ อย่างน้ำตก ภูเขา น้ำพุร้อน สวนดอกไม้ หรือจะเป็นทางวัฒนธรรมและประเพณีที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี เช่น งานประเพณีลอยกระทง รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ (ปี๋ใหม่เมือง) ไปจนถึงงานนับถอยหลังรับปีใหม่  แต่โปรแกรมเที่ยวเชียงใหม่จะมีแค่กิจกรรมชิลล์ ๆ อย่างเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เดินเล่นไปรอบ ๆ คูเมือง หรือหาซื้อของฝากจากตลาดต่าง ๆ และถนนคนเดินเท่านั้นหรือ? ไม่อย่างแน่นอน

                ที่ Flight of the Gibbon สาขาเชียงใหม่มีกิจกรรมผจญภัยผาดโผน อย่างการเล่นซิปไลน์ (Zip line) หรือการโหน สลิงหลายสิบเมตรเหนือยอดไม้ให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสุดเหวี่ยงปนหวาดเสียว ท่ามกลางป่าฝนเขตร้อนด้วยเช่นกัน

                Flight of the Gibbon คืออะไร?

                Flight of the Gibbon เป็นชื่อเรียกเส้นทางซิปไลน์ที่พาดผ่านป่าแม่กำปอง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะทางรวม 5 กิโลเมตร ประกอบด้วยสถานีผจญภัยกว่า 33 สถานี สะพานลอยฟ้า 3 แห่ง และหอโรยตัวอีก 2 แห่ง ใช้เวลาทั้งสิ้น 7-8 ชั่วโมง รวมเวลาเล่นและเดินทางไป-กลับ

ตลอดเส้นทางผจญภัยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณธรรมชาติและสัตว์ป่าควบคู่ไปด้วย และที่สำคัญ เส้นทางธรรมชาตินี้จะทำให้คุณมีโอกาสพบเห็นสัตว์ป่าในพื้นที่อย่างชะนี (Gibbon) ในระยะประชิดด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อ Flight of the Gibbon นั่นเอง

                ร่วมผจญภัยกับ Flight of the Gibbon ได้อย่างไร?

                อันดับแรกนักท่องเที่ยวจะต้องทำการจองแพ็คเกจจากเว็บไซต์หลักของ Flight of the Gibbon ก่อน เมื่อทำการจองเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะมีรถรับส่งจากทาง Fight of the Gibbon มารับถึงที่พักตามวันเวลาที่มีการนัดหมายกันไว้ ในช่วงเวลา 6:00 น. – 7:30 น. แล้วมุ่งหน้าสู่สำนักงาน Gibbon ในแม่กำปอง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 55 นาที โดยระหว่างนี้ในรถจะมีการเปิดวิดีโอแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวได้รับชม

                เมื่อเดินทางมาถึงสำนักงาน สิ่งแรกที่ผู้เล่นซิปไลน์ต้องทำคือกรอกข้อมูลส่วนตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะนำหมวก สายรัดนิรภัย และอุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัยต่าง ๆ มาสวมให้ เสร็จจากขั้นตอนนี้ก็กระโดดขึ้นรถอีกครั้งได้เลย เจ้าหน้าที่จะขับรถพาผู้เล่นไปสู่สถานีแรก ซึ่งจะมีไกด์คอยให้คำแนะนำว่าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งแจ้งเกี่ยวกับข้อห้ามในการโหนสลิง เช่น ผู้เล่นไม่ควรสวมเครื่องประดับที่ไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยขัดข้องได้

                การเล่นโหนสลิงในที่สูงปลอดภัยไหม?

                นอกจากจะเป็นเส้นทางซิปไลน์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงที่สุดในเอเชียแล้ว Flight of the Gibbon ยังมีการจำกัดจำนวนผู้เล่นสูงสุดคนแค่ 9 คนต่อ 1 กลุ่มเท่านั้น แต่ละกลุ่มจะมีพี่เลี้ยงระดับมืออาชีพคอยดูแลถึงสองคน ถือเป็นมาตรการเสริมด้านความปลอดภัยที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกไว้วางใจมากยิ่งขึ้น

                ปลดปล่อยอะดรีนาลีนให้พลุ่งพล่าน ด้วยการโหนสลิงผ่านยอดไม้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของป่า

                ในสถานีแรก ๆ นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยเล่นซิปไลน์มาก่อนอาจจะรู้สึกหวาดกลัวได้ แต่หลังจากเล่นโหนสลิง 2-3 สถานีแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายกับระดับความสูงของสายสลิงมากขึ้น จนกลายเป็นเพลิดเพลินกับกิจกรรมผาดโผนอันแสนตื่นเต้นนี้ได้ในที่สุด

                บางสถานีจะเพิ่มความท้าทายมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ในสถานีหอโรยตัวหรือสะพานลอยฟ้า ผู้เล่นจะต้องอาศัยทักษะการปีนเขาสักเล็กน้อยเพื่อไต่ระดับลงมายังพื้นเบื้องล่าง แต่รับรองว่าไม่ยากเกินกำลังเลย เพราะจะมีพี่เลี้ยงดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน

                ทิ้งทวนภาพแห่งความประทับใจ หลังจบทริปพิชิตป่า        

                ในกลุ่มซิปไลน์แต่ละกลุ่มจะมีช่างภาพติดตามไปถ่ายภาพการผจญภัยด้วย ซึ่งพอเสร็จสิ้นจากการพิชิตเส้นทางซิปไลน์ครบทุกสถานีแล้ว ผู้เล่นสามารถซื้อเซ็ตภาพถ่ายจากช่างภาพ ในราคาประมาณ 100 บาทต่อเซ็ต

                กิจกรรมโหนสลิงจะจบลงในช่วงกลางวันพอดี ซึ่งจะมีรถรับส่งพาผู้เล่นไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารท้องถิ่นที่ทาง Flight of the Gibbon จองไว้ ต่อด้วยการพาไปเที่ยวชมหมู่บ้านชาวเขา และเอาเท้าจุ่มน้ำคลายเหนื่อยที่น้ำตกแม่กำปองเป็นกิจกรรมเบาๆ ปิดท้าย

                ทว่า ขึ้นชื่อว่ากิจกรรมผาดโผนแล้ว ความเหนื่อยล้าร่างกายคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือช่วยให้นอนหลับสนิท พร้อมตื่นมารับวันใหม่อย่างสดชื่น และคงเป็นอย่างที่นักผจญภัยหลายคนได้ว่าไว้ ว่าการผจญภัยนั้น ยิ่งเหนื่อย ยิ่งประทับใจ ยิ่งสนุก

7 โรงแรม-รีสอร์ท บรรยากาศระดับไฮเอนด์ในปราณบุรี

แนะนำที่พัก 7 แห่งในพื้นที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับที่ผู้ที่ต้องการใช้วันหยุดพักผ่อนเที่ยวทะเล เพื่อผ่อนคลายไปกับคลื่นลมที่ริมหาดปราณ ซึ่งนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความเงียบสงบแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม      รีสอร์ทหรู ๆ หลายแห่ง หากต้องการสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่สวยงามอย่างเต็มอิ่ม ที่พักระดับคุณภาพก็มีส่วนในการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับวันหยุดของคุณได้ เราจึงขอแนะนำที่พักระดับคุณภาพที่จะทำให้คุณดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์อันน่าประทับใจของชายหาดปราณ ในราคาไม่เกิน 2,000 บาทต่อคืน เรียกได้ว่าราคาหลักพัน วิวหลักแสนเลยเชียว!!

                เดอะกรีนบีชรีสอร์ท (The Green Beach Resort) เริ่มต้นที่ 1,400 บาท

                ตั้งอยู่ในสามร้อยยอด อยู่ติดชายทะเล มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งและห้องอาหาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น บริการซักรีด ซักแห้ง และมีตู้เซฟเก็บของมีค่าอยู่ที่บริเวณส่วนต้อนรับของรีสอร์ท มีลานจอดรถสำหรับรถขนาดใหญ่ เช่น รสบัส รถอาร์วี (รถบ้าน) และรถบรรทุก รีสอร์ทแห่งนี้อยู่ห่างจากถ้ำพระยานคร ซึ่งถือเป็นที่เที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของปราณบุรี เพียง 9 กิโลเมตรเท่านั้น (ใช้เวลาเดินทางไปถ้ำ 10 นาทีด้วยรถยนต์)

                โรงแรมวิลล่ากริส ปราณบุรี (Villa Gris Pranburi) เริ่มต้นที่ 1,600 บาท

                ตั้งอยู่ในย่านปากน้ำของปราณบุรี อยู่ใกล้ชายหาดมาก ปั่นจักรยานไปห้านาทีก็ถึง สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ เขากะโหลก (2.19 กิโลเมตร), หาดปากน้ำปราณ (3.18 กิโลเมตร), วนอุทยานปราณบุรี (7 กิโลเมตร) และสนามกอล์ฟหัวหินโซลคันทรีคลับ(9.20 กิโลเมตร) มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีที่เก็บสัมภาระ ชาและกาแฟไว้บริการผู้เข้าพักในห้องล็อบบี้ส่วนกลาง มีที่จอดรถฟรีภายในที่พัก

                เสน่ห์ บีช คลับ (Sanae Beach Club) เริ่มต้นที่ 2,000 บาท

                โรงแรมสำหรับผู้รักสัตว์ โดยนักท่องเที่ยวสามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วยได้ (จำกัด 1 ตัวต่อ 1 ห้อง) พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ตั้งอยู่ในหัวหิน เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าหลายแห่ง บริการอำนวยความสะดวกที่โดดเด่น ได้แก่ บริการซักรีด อบแห้ง ที่ฝากกระเป๋าสัมภาระ มีรถรับส่งสนามบินให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

                โกลเด้นไพน์บีช รีสอร์ทแอนด์สปา (Golden Pine Beach Resort & Spa) เริ่มต้นที่ 1,600 บาท

                รีสอร์ทระดับ 3 ดาว พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้งริมหาดน้ำปราณและบริการรถลีมูซีน ภายในรีสอร์ทประกอบด้วยห้องพักและวิลล่าจำนวนมากกระจายตัวอยู่ท่ามกลางสวนสีเขียวชอุ่ม แต่รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากจุดเช็คอินยอดฮิต สำหรับผู้ที่ต้องการเช็คอินที่เที่ยวหลายจุด อาจจะต้องพิจารณาเข้าพักที่รีสอร์ทแห่งอื่นแทน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายพลุกพล่าน บรรยากาศเงียบสงบของโกลเด้นไพน์บีช รีสอร์ทแอนด์สปาจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน

                ตะนาวศรี รีสอร์ท (Tanaosri Resort) เริ่มต้นที่ 1,300 บาท

                ตั้งอยู่ในหาดน้ำปราณ ใกล้กับเขาสามร้อยยอด ใช้เวลาเดินทาง 25 นาทีจากตัวเมืองหัวหิน ห้องพักของตะนาวศรี  รีสอร์ทจะถูกตกแต่งในสไตล์ชนบท แวดล้อมด้วยสวนพืชพรรณเขตร้อน ทุกห้องมีระเบียงส่วนตัวยื่นออกไปในสวน มีเคเบิ้ลทีวี เครื่องชงชา-กาแฟ และห้องน้ำส่วนตัว มีอาหารเช้าบริการ จักรยานฟรี พร้อมเอาใจสาว ๆ ที่อยากอบซาวหน้าด้วยห้องนวดทรีทเม้นท์ สะดวกสบายตลอดทริปด้วยบริการรถรับส่งสนามบิน และที่สำคัญ รีสอร์ทแห่งนี้มีบริการดูแลเด็กด้วย (คิดค่าบริการเพิ่มเติม)

                ปัตตาเวีย รีสอร์ท แอนด์ สปา (Pattawia Resort & Spa) เริ่มต้นที่ 1,300 บาท

                โรงแรมสี่ดาวบนหาดปากน้ำปราณ ภายในห้องพักตกแต่งแบบกึ่งโมเดิร์น โดยยังคงเอกลักษณ์กลิ่นอายความเป็นไทยแบบดั้งเดิมเอาไว้ อยู่ใกล้กับสนามบินหัวหิน พร้อมบริการสปาครบวงจร และห้องพักปลอดบุหรี่จำนวนร้อยกว่าห้อง อยู่ติดกับชายหาดและสนามกอล์ฟ มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและอุทยานหลายแห่งให้นักท่องเที่ยวได้แวะสำรวจ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับการช็อปปิ้งที่ตลาดหัวหินได้อีกด้วย

                แบ็คคัส โฮม รีสอร์ท (Bacchus Home Resortเริ่มต้นที่ 2,000 บาท

                ตั้งอยู่ในปากน้ำปราณ อยู่ห่างจากหัวหิน 35 กิโลเมตร พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจไปทิวทัศน์อันกว้างไกลของอ่าวหัวหิน และเพลิดเพลินกับความงดงามตามธรรมชาติ บรรยากาศโดยรอบสงบเงียบ มีห้องพักให้บริการทั้งหมด 66 ห้องซึ่งได้รับการตกแต่งในสไตล์ร่วมสมัย ทุกห้องมีระเบียงส่วนตัวพร้อมโต๊ะและเก้าอี้นั่งเล่น ทั้งนี้   รีสอร์ทแห่งนี้ไม่มีลิฟต์ให้บริการ หากไม่อยากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินขึ้นลงห้องพัก นักท่องเที่ยวควรพิจารณาข้อมูลก่อนตัดสินใจเข้าพัก

                7 ที่พักที่เรานำมาแนะนำกันนี้ รับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ส่วนใครจะสะดวกที่ไหน หรือจะตามให้ครบก็ลองเลือกกันได้ตามใจชอบ แล้วคอยติดตามที่อื่น ๆ ที่เราจะมาแนะนำกันต่อไป

สัมผัสมนต์เสน่ห์ของดอกพญาเสือโคร่ง ที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)

โครงการหลวงขุนวาง หรือศูนย์วิจัยการเกษตรขุนวางเป็นสถานีวิจัยบนไหล่เขาอินทนนท์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากดอยอินทนนท์เป็นดอยที่มีความสูงที่สุดในประเทศ เมื่อถึงฤดูหนาว ไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิดก็จะผลิบานเต็มที่ อวดสีสันสดใสให้เราได้ชมอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน พืชพรรณบางชนิดมีให้ชมตลอดทั้งปี แต่สำหรับดอกนางพญาเสือโคร่งหรือเชอร์รีป่าแห่งหิมาลัย (Wild Himalayan Cherry) นั้น จะบาน สพรั่งแค่ปีละครั้ง แต่ละครั้งจะบานราว ๆ 1-2 สัปดาห์แล้วค่อย ๆ โรยไป

ดอกนางพญาเสือโคร่งมีสีขาว ชมพู และแดง ออกเป็นช่อใกล้ปลายกิ่ง มองเผิน ๆ ดูคล้ายคลึงกับดอกซากุระ ดอกไม้งามขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เอง ดอกนางพญาเสือโคร่งจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซากุระเมืองไทย”

การเดินทางไปยังโครงการหลวงขุนวาง 

รถยนต์ส่วนตัว ศูนย์วิจัยการเกษตรขุนวาง ใช้เวลาขับรถจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ประมาณ 2 ชั่วโมง จากสนามบินใช้เส้นทางหมายเลข 108 แล้วเลี้ยวขวาสู่ถนนหมายเลข 1009 ที่อำเภอจอมทอง มุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ ที่กิโลเมตรที่ 31 ให้เลี้ยวขวาไปยังถนนหมายเลข 1284 เพื่อเข้าสู่ศูนย์วิจัยฯ เส้นทางอาจคดเคี้ยวเล็กน้อย แต่โดยรวมถนนอยู่ในสภาพดี ยกเว้นบริเวณก่อนถึงทางเข้าสถานีเกษตรแม่จอนหลวง ที่อาจพบกับหลุมบ่อหลายแห่ง เป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร

รถเหมา นักท่องเที่ยวสามารถหารถเหมาจากในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วตรงไปยังขุนวางได้เลย หรือจะนั่งรถประจำทาง (สีเหลือง) ที่จอดให้บริการอยู่ที่สถานีขนส่งช้างเผือกไปยังอำเภอจอมทอง แล้วหารถเหมาไปส่งถึงที่ก็ได้

กิจกรรมการท่องเที่ยวภายในโครงการหลวงขุนวาง

เที่ยวชมนางพญาเสือโคร่ง ช่วงเวลาการผลิบานของดอกนางพญาเสือโคร่งค่อนข้างยากที่จะคาดการณ์ เพราะมักจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในช่วงเวลานั้น โดยปกตินางพญาเสือโคร่งจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนการเดินทาง นักท่องเที่ยวควรติดตามข่าวสารเป็นประจำ จะได้ไม่พลาดโอกาสในการเข้าชมดอกไม้ชนิดนี้

ชมแปลงสาธิตไม้เมืองหนาวหลายชนิด ถือเป็นอีกหนึ่งในไฮไลท์ของสถานีเกษตรขุนวางและแม่จอนหลวง ซึ่งผู้เข้าชมสามารถเดินดูรอบ ๆ สถานีเพื่อถ่ายรูประยะใกล้และเด็ดชิมผลไม้สด ๆ จากต้นได้

เที่ยวตลาดนัดผักผลไม้สดโครงการหลวง เปิดทำการทุกวัน ณ บริเวณประตูหลักของศูนย์วิจัยเกษตรขุนวาง จำหน่ายผักสดจากแปลงหลายชนิด เช่น ถั่วหวาน, บร็อคโคลี่, มะเขือเทศ, มะเขือเทศราชินี, หอมใหญ่, หัวไชเท้า, และพริกหยวก ในส่วนของผลไม้ก็จะมีองุ่นไร้เม็ด, กีวี่, ลูกพลัม, สตรอว์เบอร์รี่, เคพกู๊สเบอร์รี่ และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีใบชาจีนและใบชาสเปนอบแห้งวางจำหน่ายด้วย

ค้างแรมสัมผัสธรรมชาติ ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตผลทางการเกษตรเท่านั้น แต่โครงการหลวงขุนวางยังมีบริการที่พักให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติในฤดูหนาวที่สมบูรณ์แบบด้วย สำหรับที่พักภายในศูนย์ มีบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยวประมาณ 4-5 หลัง แต่ละหลังพักได้ไม่เกิน 10 คน สถานที่กางเต็นท์มีด้วยกันสองจุด อยู่ที่บริเวณลานหญ้าหน้าอาคารสำนักงานและบริเวณหุบรับเสด็จ มีอาหารบริการที่โรงอาหารของศูนย์วิจัยฯ พร้อมกาแฟอาราบิก้าให้ชิมฟรี

ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใกล้ชิดวิถีชีวิตชาวเขา ประชากรหลักในพื้นที่โครงการหลวงขุนวางคือชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง โดยช่วงปีใหม่จะมีงานปีใหม่ของชาวม้ง และงานข้าวใหม่ของชาวกะเหรี่ยงให้ชม

เรียกได้ว่าเป็นทริปการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สุดแสนจะครบรส ท่ามกลางความสวยงามของหมอกขาวที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักการเที่ยวชมโครงการหลวงขุนวางไปอีกนานแสนนาน และทุกปีคุณจะต้องกลับมาตากลมหนาวที่นี่อีกครั้ง